หุ้นแบงก์ราคาสูงสุดและต่ำสุดแต่ถูกทั้งคู่

กำไรอันโดดเด่นของหุ้นกลุ่มธนาคารหลังประกาศงบสิ้นงวดไตรมาสสุดท้ายที่ออกผลมาแล้วยอดรวมประมาณ 1.8 แสนล้านบาท เติบโตขึ้น 32.3%


กำไรอันโดดเด่นของหุ้นกลุ่มธนาคารหลังประกาศงบสิ้นงวดไตรมาสสุดท้ายที่ออกผลมาแล้วยอดรวมประมาณ 1.8 แสนล้านบาท เติบโตขึ้น 32.3% จากผลงานที่โดดเด่นในไตรมาสสุดท้ายถึง 4.2 หมื่นล้านบาท เพิ่ม 35%

ข้อสังเกตในระดับย่อยรองลงไปอยู่ที่กำไรสุทธิของ ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK ในยุคที่มีกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริษัท นางสาว ขัตติยา อินทรวิชัย ผงาดขึ้นเป็นอับดับหนึ่งของวงการครั้งแรก แซงหน้าเจ้าเก่าได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี กลายเป็นที่หนึ่งในการทำกำไรสูงสุดของวงการ

เรียกได้ว่าธนาคารพาณิชย์ไทยถูกโฉลกกับนายธนาคารที่เป็นหญิงในลักษณ์ “นารีขี่ม้าขาว” ยิ่งเพราะมีต้นแบบจากธนาคารไทยพาณิชย์ในยุคที่คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม เป็นกรรมการผู้จัดการทั้งที่มีสินทรัพย์เป็นอันดับสี่

ก็หวังใจว่าธนาคารรวงข้าวจะกลายเป็นธนาคารที่กำไรสูงสุดของวงการในปีต่อไปอีกยาวนาน…เพราะไม่เช่นนั้นปีที่ผ่านมาก็ถือเป็นข้อยกเว้นโดยบังเอิญไป

กำไรที่โดดเด่นทำให้ KBANK เป็นหุ้นธนาคารที่มีราคาสูงสุดในตลาดยามนี้ ในขณะที่หุ้นอย่าง ธนาคารเชื้อชาติมาเลเซีย อย่าง CIMBT กลายเป็นหุ้นที่ราคาต่ำสุด แต่ถ้าหากคิดเป็นราคาหุ้นแล้วถือว่าราคายังต่ำเกินจริงทั้งคู่เพราะยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีหรือบุ๊กแวลู

ผลงานอันโดดเด่นของ KBANK มีกำไรสุทธิสำหรับปี 64 จำนวน 38,053 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8,566 ล้านบาท หรือ 29.05% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ส่วนหนึ่งเกิดจากการลดลงของตัวเลขตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิต โดยธนาคารและบริษัทย่อยพิจารณาตั้งสำรองฯ ในปี 64 จำนวน 40,332 ล้านบาท จนล่าสุดสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 159.08% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 63 ที่อยู่ที่ระดับ 149.19%

แม้โควิด-19 จะเป็นสถานการณ์ที่ถ่วงรั้งธุรกรรมให้ฟื้นตัวช้าลง

KBANK และบริษัทย่อยมีรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจำนวน 7,822 ล้านบาท หรือ 6.13% มาจากการให้สินเชื่อใหม่ตามยุทธศาสตร์ของธนาคารแก่ลูกค้าที่มีศักยภาพ และมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าโดยการเสริมสภาพคล่องให้ลูกค้าสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ปกติ รวมทั้งลูกค้าบางส่วนยังอยู่ภายใต้มาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ทำให้ธนาคารยังคงต้องมีการบริหารจัดการดอกเบี้ยค้างรับอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin : NIM) อยู่ที่ระดับ 3.21%

สำหรับบรายได้ และค่าเช่า แม้ว่า รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 1,9 พันล้านบาทหรือ 4.17% ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้จากการจำหน่ายหลักทรัพย์ และรายได้สุทธิจากการรับประกันภัยที่ลดลง

ส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ เพิ่มขึ้นจำนวน 1,048 ล้านบาทหรือ 1.50% เกิดจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคาร สถานที่และอุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายกิจกรรมทางการตลาดลดลง

ด้านสินทรัพย์มีการเติบโตขึ้นส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุนสุทธิ และการเติบโตของเงินให้สินเชื่อที่มีศักยภาพ รวมทั้งมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้า

ขณะที่สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ อยู่ที่ระดับ 3.76% ลดลงเมื่อเทียบกับสิ้นปี 63 อยู่ที่ระดับ 3.93%

จุดเด่นดังกล่าวน่าจะส่งต่อมายังผลประกอบการในปี 2565 ด้วยเช่นกัน

ล่าสุด บุ๊กแวลูที่ระดับ 195 บาท เทียบกับราคาซื้อขายล่าสุด 148 บาท จึงมีคนนิยมซื้อล้นหลามเพราะว่า ราคาต่ำกว่าบุ๊กมากกว่า 50 บาท หรือ 30% ทำให้ราคาบนกระดานถือว่าถูกเกินไป

ส่วน CIMBT เป็นธนาคารที่ราคาหุ้นต่ำสุดเพียงแค่ใต้ 1.00 บาท ก็ถือว่าผลงานโดดเด่นมากมีกำไรสุทธิจำนวน 2,440.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,150 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 89.1% แม้รายได้จะลดลงถึง 3.90 รายได้จากการดำเนินงานจะมีจำนวน 14,347.4 ล้านบาท ลดลง 579.7 ล้านบาท หรือลดลง 3.9% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 63 เนื่องจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 988.5 ล้านบาท หรือลดลง 9% เนื่องจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและการเช่าซื้อ

รายได้ที่ลดลง เทียบกับรายจ่ายลดลงมากกว่า ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ 337.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 26.9% จากการเป็นนายหน้าขายประกันและหน่วยลงทุน ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 8.1% และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง 25.7% สวนทางกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 64 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 63 ลดลง 723.3 ล้านบาท หรือลดลง 8.1%

กำไรที่โป่งพองจากตรการ defensive จะเห็นได้ชัดเจนจากตัวเลขสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 7.9 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ 3.7% ลดลงเมื่อเทียบกับสิ้นปี 63 อยู่ที่ 4.6% สาเหตุหลักจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในปี 2564 ถือว่าการบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ การปรับปรุงการบริหารคุณภาพสินทรัพย์และกระบวนการในการเก็บหนี้

กำไรที่เติบโตโดดเด่นอย่างมาก ทำให้รายได้รับ 1.4 หมื่นล้าน กำไรสุทธิ 2.44 พันล้านบาท ทำให้อัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 17% แม้จะไม่ดีที่สุดเทียบกับรายใหญ่เจ้าตลาดแต่ก็ดีขึ้นมาก

ราคาที่ต่ำเตี้ยแถว 0.90 บาท เทียบกับบุ๊กที่ 1.27 บาท ถือว่าราคาต่ำเกินกว่าบุ๊กมากว่า 30% ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับคนเบี้ยน้อยหอยใหญ่

หุ้นธนาคารทั้งสองรายการเหมาะจะซื้อเท่ากัน แต่คนที่ชอบหุ้นใหญ่ และมีกำลังซื้อน่าจะชอบหุ้นราคาสูงกว่า ส่วนคนที่มีกำลังซื้อต่ำก็เลือกซื้อหุ้นที่ราคาติดพื้นได้ถึงอย่างไรก็กำไรคิดเป็นอัตราส่วนใกล้เคียงกันทั้งคู่

เชิญเลือกเอาตามอัธยาศัยละกัน

Back to top button