SCC กลยุทธ์สร้างมูลค่าทางลัด

SCC โชว์งบปี 64 เบ่งกำไรสุทธิกว่า 4.7 หมื่นล้านบาท เติบโต 38% จากปีก่อน หลังโกยรายได้กว่า 5.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 33%


นอกจากการทำกำไร (จากธุรกิจปิโตรเคมีขาขึ้นที่เกินครึ่ง) จากปีก่อนที่ดีเกินคาดในครึ่งหลังของปี นอกจากทำให้จ่ายปันผลอู้ฟู่กว่าเดิมแล้ว ยังทำให้ความสามารถทำกำไรของยักษ์ใหญ่ทางด้านอุตสาหกรรมรายนี้กลับมาสูงสุดในรอบ 4 ปี และบุ๊กแวลูของบริษัททะลุเกิน 300 บาทเป็นครั้งแรก แต่การใช้ตลาดทุนให้เป็นประโยชน์ในการสร้างมูลค่าผู้ถือหุ้น กำลังจะกลายเป็นหลักใหม่ ซึ่งในระยะยาวจะทำให้ SCC กลายเป็นโฮลดิ้ง คอมพานีโดยปริยายแบบเดียวกับ INTUCH และ PTT ที่ล่วงหน้าไปก่อน

นั่นคือเป็นบริษัทที่รับรู้รายได้จากการลงทุนในบริษัทใต้ร่มธงไม่ใช่บริษัทที่มีการผลิตอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งผลลัพธ์คืออัตรากำไรสุทธิที่จะเพิ่มขึ้นโดยปริยาย

เพียงแต่คงไม่รวดเร็วดังใจหมายหรอก เพราะยังต้องการขั้นตอนอีกหลายขั้นกว่าจะไปถึงจุดหมาย

เท่านี้ก็ทำให้อนาคตของการที่หุ้นของ SCC จะกลายเป็นหุ้นในดวงใจของกองทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันที่จะต้อง “ซื้อแล้วถือยาว” ในระยะต่อไปเสมือนภาคบังคับในระยะยาว

SCC โชว์งบปี 64 เบ่งกำไรสุทธิกว่า 4.7 หมื่นล้านบาท เติบโต 38% จากปีก่อน หลังโกยรายได้กว่า 5.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% อานิสงส์ทุกกลุ่มธุรกิจฟื้นตัวชัดเจน โดยเป็นส่วนแบ่งกำไรธุรกิจเคมิคอลส์ 11,577 ล้านบาท คิดเป็น 66% ของทั้งหมด พร้อมจ่ายปันผลงวดครึ่งหลังปี 2564 อีกหุ้นละ 10 บาท

เมื่อรวมเข้ากับการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 8.50 บาท จากการที่คณะกรรมการบริษัทมีมติเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม เท่ากับ จ่ายปันผลทั้งปี 18.50 บาท แถมผู้ถือหุ้นประเภทบุคคลธรรมดา สามารถขอเครดิตภาษีคืนได้ 1 เท่ากับจะเสียภาษีจะหัก ณ ที่จ่าย เพียงแค่ 10% เท่านั้น คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม (คิดจากราคาหุ้นที่ราคาใกล้เคียวกับบุ๊กแวลูที่หลังจากปรับค่าแล้วน่าจะเกิน 310 บาทไปแล้ว)

ล่าสุด บอร์ดของสุดยอดโฮลดิ้ง คอมพานียังมีข่าวดีล่วงหน้าอีก เมื่อบอร์ดไฟเขียวสปินออฟ เอสซีจี เคมิคอลส์ หรือ SCGC เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมเสนอขายไอพีโอ 3,854 ล้านหุ้น การขายหุ้นบริษัทใต้ร่ม แม้จะไม่บันทึกเป็นกำไรเพิ่ม แต่ทำให้บุ๊กแวลูของ SCC พุ่งขึ้นไปอย่างมีนัยสำคัญผลักดันให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปอีก

จุดเด่นข้างต้นหากรวมเป้ายอดขายรวมปี 65 โต 10% เล็งขึ้นราคาสินค้าตามต้นทุน-ความต้องการของตลาดวัสดุก่อสร้างและกระดาษที่ฟื้นตัว แล้วยังตามด้วยผลจากการลงทุนในหลายประเทศในยุคหลังจกวิกฤตโควิด-19 รวมทั้งตลาดปิโตรเคมีที่ยังคงให้กำไรสูงต่อไป จะยิ่งเป็นปัจจัยบวกให้รายได้และกำไรของ SCC สวยงามต่อไป

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ SCC เปิดเผยว่าบริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมปี 65 จะเติบโต 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มียอดขาย 530,112 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนจะปรับราคาสินค้าขึ้นตามราคาของตลาดโลก หลังจากต้นทุนเพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการของสินค้าก็ฟื้นตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจ

อีกทั้งบริษัทจะให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุน เช่น การใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้วัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ ลดการใช้วัตถุดิบที่ไม่จำเป็น เป็นต้น

ทั้งนี้ กลุ่ม SCC ได้วางงบลงทุนในปีนี้ไว้ที่ 8 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 40% จะใช้ในส่วนของโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP 1) ประเทศเวียดนาม โดยปัจจุบันได้ดำเนินการก่อสร้างไปแล้วราว 90% คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องผลิต (COD) ได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 66 รวมถึงอยู่ระหว่างศึกษาขยาย LSP2 ด้วย ส่วนงบลงทุนที่เหลือจะใช้ในส่วนของ Organic และ Inorganic Growth ต่าง ๆ ของกลุ่มธุรกิจที่มีการวางแผนไว้

สำหรับแผนการลงทุนในประเทศอื่น ๆ ของกลุ่มบริษัทฯ โดยธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ที่ผ่านมาก็ได้มีการขยับการลงทุนเข้าไปในประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์หลักในการสร้างอาเซียนแพลตฟอร์มสำหรับรีเทล วัสดุก่อสร้าง ส่วนด้านโลจิสติกส์ ก็ได้มีการเปิดโอเปอเรชั่นเพิ่มในอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์ เป็นต้น จากปัจจุบันที่มีการดำเนินหลักอยู่ในไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ขณะที่ธุรกิจแพคเกจจิ้งก็มีการลงทุนต่อเนื่อง เช่น โรงกระดาษบรรจุภัณฑ์ ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงให้เป้าหมายราคาของ SCC ในปีนี้ไว้ที่เกิน 500 บาทต่อไป แม้จะคาดหมายกันว่ากำไรในสิ้นปีนี้จะต่ำกว่าปีก่อนถึง 14% หรือทำได้เพียงแค่ 38,000 ล้านบาทก็ตาม แต่ยอดการเติบโตของ SCGP ที่มากกว่าปีก่อนถึงเท่าตัว และเงื่อนไขที่โดดเด่นของการแยกบริษัทอย่าง SCGC ที่ให้ผู้ถือหุ้น SCC ได้สิทธิซื้อหุ้นก่อนหรือ preemptive rights ก็น่าจะเป็นความโดดเด่นที่หนุนให้ราคาของ SCC มีอัพไซด์ขึ้นไปได้มาก

ส่วนต่างที่ถือเป็นอัพไซด์เกินกว่า 120 บาท น่าจะส่งสัญญาณว่าการซื้อ SCC ที่ราคาปัจจุบันต่ำกว่า 400 บาท ไม่มีความเสี่ยงมากมายอะไร แต่คนที่เห็นราคาหุ้นที่สูงอาจจะมองว่าเป็นหุ้นที่แพง

ของพรรค์นี้ เป็นลางเนื้อชอบลางยา

อย่าบ่นทีหลังว่า “รู้อะไรก็ไม่เท่า…รู้งี้” ละกัน

Back to top button