PYLON-SEAFCO หากต้องเลือก…ตัวไหนดี.?

ช่วงปี 64 หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นรับเหมาฯ ขนาดใหญ่ หรือรับเหมาฯ ขนาดเล็ก รวมทั้งกลุ่มฐานราก เสาเข็มเจาะ ถูกกดดันจากมาตรการปิดแคมป์คนงาน ช่วงที่มีการล็อกดาวน์


ช่วงปี 2564 หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นรับเหมาฯ ขนาดใหญ่ หรือรับเหมาฯ ขนาดเล็ก รวมทั้งกลุ่มฐานราก เสาเข็มเจาะ ถูกกดดันจากมาตรการปิดแคมป์คนงาน ช่วงที่มีการล็อกดาวน์เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด จนทำให้ผลประกอบการงวดปี 2564 ออกมาเละเทะ..!! บางเจ้าพลิกมาขาดทุนมโหฬาร ส่วนบางเจ้าก็พอประคองตัวได้…

แต่สำหรับ 2 หุ้นฐานราก ถือว่าสถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก อย่างบริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO นี่ถึงขั้นพลิกมาขาดทุน 56 ล้านบาท จากปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 154 ล้านบาท

ส่วนบริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON แม้ยังเห็นกำไร 39 ล้านบาท แต่กำไรก็หายไปเกินกว่าครึ่ง จากปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิ 182 ล้านบาท

ทำให้มีคำถามตามมาว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว งานโครงการภาครัฐเริ่มทยอยออกมา หุ้นฐานรากทั้ง 2 ตัวยังน่าลงทุนมั้ย..? แล้วควรจะเลือกตัวไหนกันละเนี่ย..?

ล่าสุดบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มีมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับหุ้นฐานรากทั้ง 2 ตัว…

เริ่มจาก  PYLON  ซึ่งปัจจุบันมีแบ็กล็อกกว่า 1,500 ล้านบาท โดยประมาณการรายได้ปี 2565 อยู่ที่ 1,500 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของแบ็กล็อก ปัจจุบันอยู่ที่ 15–20% โดยบริษัทจะไม่ให้แบ็กล็อกกระจุกตัวอยู่แค่การลงทุนจากภาครัฐเท่านั้น แต่จะขยายไปรับงานโครงการเอกชนให้มากขึ้น

ขณะที่โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินล่าช้าออกไป ซึ่งคาดว่าจะเริ่มได้ในไตรมาส 2/2565

ฟาก SEAFCO ปัจจุบันมีแบ็กล็อกกว่า 1,400 ล้านบาท โดยประมาณการรายได้ปี 2565 ไว้ที่ 1,500–1,600 ล้านบาท ด้านอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของแบ็กล็อก ปัจจุบันอยู่ที่ 5–10% เท่านั้น ส่วนปัญหาขาดแคลนแรงงานที่เคยกดดันผลการดำเนินงานก่อนหน้านี้ เริ่มคลี่คลายจากการนำเข้าแรงงาน

โดยมองว่าแนวโน้มกำไรปกติจะดีขึ้นหลังจากไตรมาส 2/2565 เมื่อเริ่มโครงการทางด่วนพระราม 2-บ้านแพ้ว มูลค่า 300 ล้านบาท ขณะที่โครงการเซ็นทรัล เอ็มบาสซี อยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าของโครงการ โดยคาดว่าจะเริ่มได้ในช่วงปลายไตรมาส 2/2565

จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นว่า PYLON ดูดีกว่า…บล.กสิกรไทย จึงมีคำแนะนำให้ซื้อ PYLON  ในระยะสั้นก่อนแจ้งงบในไตรมาส 1/2565 เนื่องจากแนวโน้มการสร้างแบ็กล็อกใหม่และแนวโน้มกำไรที่สดใส ในขณะที่ผลการดำเนินงานของ SEAFCO ยังอ่อนแอ ซึ่งอาจกดดันราคาหุ้นให้ปรับลดลงอีก

หลังจากนั้น หากราคาหุ้น SEAFCO ยังคงต่ำกว่า 4.17 บาท แนะนำให้เปลี่ยนไปซื้อ SEAFCO จากแนวโน้มการฟื้นตัวของแบ็กล็อกที่สดใสจากโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่กำลังมีการเปิดซองประมูล และกำไรที่คาดจะแตะระดับต่ำสุดในไตรมาส 1/2565

โดยแนะนำ “ซื้อ” PYLON ที่ราคา 5.65 บาท ส่วน SEAFCO แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคา 4.70 บาท

อืม…หรือใครเห็นต่างจากนี้ ก็ไม่ว่ากันนะ…

เอาเป็นว่า ใครใคร่ซื้อ ก็ซื้อ…ใครใคร่ขาย ก็ขาย…เลือกที่สบายใจละกัน

…อิ อิ อิ…

Back to top button