ต้นเด่น-กลางกดดัน-ปลาย (เริ่ม) ดี

หุ้นกลุ่มธุรกิจน้ำมัน ช่วงไตรมาส 1/65 หุ้นต้นน้ำกำไรมีโอกาสโดดเด่น..หุ้นกลางน้ำ ยังเผชิญแรงกดดันจากปิโตรเคมี..ส่วนหุ้นปลายน้ำ กำลังเริ่มดีขึ้น..!?


ช่วงไตรมาส 1/65 ที่ผ่านมา “ราคาน้ำมันดิบโลก” ปรับตัวขึ้นกว่า 30% จากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน นั่นหมายถึงราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน ปรับขึ้นตามทันที ทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานเกิดความผันผวนทั้งเชิงบวกและเชิงลบ ส่งผลต่อความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องด้วยมาร์เก็ตแคปหุ้นกลุ่มพลังงาน มีสัดส่วนมากถึง 20% ของ SET Index

สำหรับหุ้นที่เกี่ยวเนื่องธุรกิจน้ำมัน (เป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมสูง) มีการจัด 3 กลุ่มหุ้นธุรกิจน้ำมัน ตามวงจรธุรกิจน้ำมัน เริ่มจากธุรกิจต้นน้ำ (ทำการสำรวจขุดเจาะแหล่งน้ำมันดิบ) ธุรกิจกลางน้ำ (โรงกลั่นน้ำมันและผลิตปิโตรเคมี) ธุรกิจปลายน้ำ (ค้าปลีกและสถานีบริการน้ำมันต่าง ๆ)

จากด้วยหุ้นน้ำมัน มีวงจรธุรกิจที่แตกต่างกัน ทำให้ความเคลื่อนไหวของหุ้นและผลกระทบเชิงพื้นฐาน จากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมีความแตกต่างกันไป….

หุ้นธุรกิจต้นน้ำ ที่เป็นบริษัทสำรวจและขุดเจาะแหล่งน้ำมันดิบ-ก๊าซธรรมชาติต่าง ๆ ทั้งในทะเลและบนบก ได้รับผลเชิงบวกจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้น จากต้นทุนการผลิตเป็น Fixed cost ค่อนข้างคงที่ นั่นหมายถึงการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ จะมีผลบวกต่อกำไรโดดเด่นมากสุด นั่นคือบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ในฐานะบริษัทแม่และมีธุรกิจเชื่อมต่อจากต้นน้ำไปสู่กลางน้ำ อย่างไรก็ดี “อัตราแลกเปลี่ยน” ถือเป็นหนึ่งความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้..!?

หุ้นธุรกิจกลางน้ำ เป็นกลุ่มธุรกิจโรงกลั่น ที่รับช่วงน้ำมันดิบมาเข้าสู่กระบวนการกลั่น เพื่อผลิตออกมาเป็นน้ำมันสำเร็จรูป เช่น น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน น้ำมันอากาศยาน ก๊าซหุงต้ม น้ำมันเตา รวมถึงผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและเม็ดพลาสติก มีปัจจัยเกี่ยวข้องคือ “กำไรจากค่าการกลั่น” เป็นส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปกับน้ำมันดิบ ที่ไตรมาส 1/65 ถือว่าออกมาค่อนข้างดี แต่ที่โดดเด่นสุดคือกำไรจากสต๊อกน้ำมัน (Stock Gain) นั่นเอง

อย่างไรก็ดีกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและเม็ดพลาสติก จะถูกแรงกดดันจากต้นทุนน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น ทำให้ส่วนต่างราคาหดแคบลง ดังนั้นหุ้นที่มีธุรกิจโรงกลั่นอย่างเดียว มีโอกาสเห็นกำไรสูงมาก แต่หุ้นที่มีโรงกลั่นและปิโตรเคมี อาจมีตัวเลขกำไรออกมาไม่ดีมากนัก จากแรงกดดันของธุรกิจปิโตรเคมี แต่ที่แย่กว่านั้นคือหุ้นมีธุรกิจปิโตรเคมีแต่ไม่มีโรงกลั่น ผลประกอบการมีโอกาสออกมาย่ำแย่หรือไม่สู้ดีมากนัก..

หุ้นกลุ่มนี้คือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน ) หรือ TOP, บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC, บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP, บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC, บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL และบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC

หุ้นธุรกิจปลายน้ำ เป็นกลุ่มปลายน้ำ ที่นำน้ำมันสำเร็จรูป ไปสู่การจัดจำหน่ายผ่านสถานีบริการน้ำมันต่าง ๆ ปัจจัยหลักคือ “ค่าการตลาด” ช่วงที่ผ่านมา แม้ค่าการตลาดจะลดลง แต่ถูกชดเชยด้วยปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น หลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และกำลังดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการเปิดประเทศช่วงกลางปีนี้

อย่างไรก็ดี “การบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์” (Non-Oil) ในสถานีบริการน้ำมันต่าง ๆ กำลังเริ่มกลับเข้าสู่ปกติมากขึ้น เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานที่ชัดเจนช่วงไตรมาส 2/65 เป็นต้นไป

บทสรุปเบื้องต้นหุ้นกลุ่มธุรกิจน้ำมัน ช่วงไตรมาส 1/65 หุ้นต้นน้ำกำไรมีโอกาสโดดเด่น..หุ้นกลางน้ำ ยังเผชิญแรงกดดันจากปิโตรเคมี..ส่วนหุ้นปลายน้ำ กำลังเริ่มดีขึ้น..!?

Back to top button