พาราสาวะถี

ทำไมต้อง “อารมณ์เสีย” กับแค่คำถามของนักข่าวเกี่ยวกับเรื่องการสวม หรือถอดหน้ากากอนามัยให้เป็นไปตามความสมัครใจ


ทำไมต้อง “อารมณ์เสีย” กับแค่คำถามของนักข่าวเกี่ยวกับเรื่องการสวม หรือถอดหน้ากากอนามัยให้เป็นไปตามความสมัครใจ หลังจากมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา การไล่ให้สื่อไปอ่านรายละเอียดทั้งหมด ทำความเข้าใจ และอย่าให้มีปัญหาทุกเรื่อง ทั้งนี้กรณีนี้หากไม่มีปมอะไร ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต้องคุยฟุ้งเสียด้วยซ้ำว่า มันเป็นผลงานอันยอดเยี่ยมของรัฐบาลที่สามารถควบคุมสถานการณ์ ทำให้โควิด-19 ดีขึ้น จนประชาชนสามารถจะถอดแมสก์กันได้แล้ว

หากแต่ความหงุดหงิดหัวใจที่เกิดขึ้น คงเป็นเพราะอีกด้านตัวเลขของผู้ติดเชื้อและผู้หายป่วยในช่วงเกือบสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น มันสวนทางกันอย่างน่าติดตาม โดยจะเห็นได้ว่าก่อนหน้านั้นจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงต่ำกว่าหลักสองพันราย และตัวเลขหายป่วยจะสูงกว่าผู้ติดเชื้อ เช่นเดียวกันกับจำนวนผู้ที่ยังรักษาตัวที่ลดระดับลงต่อเนื่อง แต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมากลับพบว่าตัวเลขติดเชื้อเกินสองพันรายต่อเนื่อง คนหายป่วยน้อยกว่าคนป่วย และตัวเลขผู้เข้ารับการรักษาสูงขึ้น

ขณะเดียวกัน มีการตั้งโต๊ะแถลงข่าวของ นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เรื่องโควิดสายพันธุ์โอมิครอน BA.5 ที่พบว่ากำลังมีแนวโน้มการติดเชื้อเพิ่มขึ้นทั่วโลก และอีกไม่นานก็จะลามมาถึงประเทศไทยด้วย โดยมีการระบุด้วยว่า สายพันธุ์นี้มีความเสี่ยงที่จะทำให้เชื้อลงปอดเหมือนสายพันธุ์เดลต้า และรุนแรงกว่าสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ในประเทศไทยเวลานี้ นั่นหมายความว่า มาตรการผ่อนคลายที่เพิ่งดำเนินการกันไป อาจจะต้องทบทวนกันอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันต่อการรับมือสถานการณ์

จึงอาจเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจรู้สึกโมโหเมื่อนักข่าวถามถึงประเด็นนี้ เพราะเท่ากับว่าการประเมินสถานการณ์และการตัดสินใจที่ผ่านการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อน กลายเป็นความผิดพลาด ความคาดหวังที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยกระเตื้องขึ้นโดยเร็วผ่านการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวอาจเกิดการสะดุด ส่งผลให้รัฐบาลที่ตีบตันทางเลือกในการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนอยู่แล้ว ต้องเจอโจทย์ใหม่ที่ยากขึ้นเข้าไปอีก

เชื่อว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจได้ เนื่องจากโควิดมันสามารถที่จะกลายพันธุ์ได้ตลอดเวลา ความจริงแล้วประเด็นสวมหรือถอดหน้ากากที่ปล่อยให้เป็นทางเลือกของประชาชน โดยไม่มีการบังคับตามคำสั่งที่ออกโดย พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น มันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะทั้งหมดมันเป็นเรื่องความตระหนักรู้ และการทำให้ประชาชนอยู่ร่วมกับโควิดได้ด้วยความเข้าใจ รู้จักป้องกันตัวเอง รัฐบาลก็มีหน้าที่ในการที่จะไปดูเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า และไม่ควรที่จะเป็นประเด็นให้ท่านผู้นำต้องหงุดหงิด เว้นเสียแต่จะหัวเสียมาจากเรื่องอื่น

ความจริงก็มีประเด็นที่ทำให้คิดได้ว่าทำให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอาจไม่สบอารมณ์ อาจจะเป็นกรณีของ “ตี๋กร่าง” สุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ที่ฝากข้อความมาถึงท่านผู้นำว่าด้วยประเด็นความรับผิดชอบต่อสภา ซึ่งผู้สื่อข่าวก็ถามในประเด็นนี้ว่า เป็นการทักท้วงที่รุนแรงหรือไม่ ก็ได้คำตอบว่าคิดกันเอาเอง พร้อมกับยืนยันให้เกียรติสภาเสมอ จะว่าไปแล้วหากมองให้ลึกซึ้งสิ่งที่ตี๋กร่างส่งสัญญาณมาอาจไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่า ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่มีความรับผิดชอบ

เนื่องจากสิ่งที่รองประธานสภาฯ รายนี้พูดนั้น ระบุว่า มอบหมายแล้วไม่มาตอบถือว่าไม่มีความรับผิดชอบ จากกระทู้ดังกล่าวย่อมหมายถึงคนที่จะต้องมาตอบแทนท่านผู้นำแล้วอ้างว่าติดภารกิจทั้ง อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีคลัง และ สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยคลัง แต่มีสิ่งที่ทำให้คาใจคงเป็นถ้อยคำที่บอกว่า การมอบหมายอย่าสั่งเหมือนทหาร คือสั่งไปแล้วถือว่าจบกันแบบนั้นไม่ใช่ ก็เท่านั้น แต่หากมองโดยภาพรวม สิ่งที่สุชาติตำหนิคือการปกป้องผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ หากจะต้องถามหาความรับผิดชอบจากการที่มีคนไม่มาตอบกระทู้สดของฝ่ายค้านมากกว่า

เหมือนอย่างที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอ้าง ตนสามารถมอบหมายให้ผู้ที่มีหน้าที่โดยตรงไปตอบแทนได้ เพราะนายกรัฐมนตรีก็ตอบได้เฉพาะกรอบกว้าง ๆ หรือแนวทางในการปฏิบัติ แต่ในเรื่องของรายละเอียดเป็นเรื่องของแต่ละกระทรวงที่จะรู้ในเรื่องของรายละเอียดดี การมอบหมายให้ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องไปชี้แจงแทนเป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับของสภาฯ ก็คิดว่ามอบหมายผู้แทนไปแล้วจะไปตอบได้ แต่กลายเป็นว่าผู้แทนที่มอบหมายดันไปติดพันจากงานอื่น ตรงนี้แหละที่ต้องขีดเส้นใต้ผู้แทนของท่านผู้นำทำไมเห็นธุระอื่นสำคัญกว่าการให้เกียรติสภา ที่ก็ทำตามหน้าที่ และเป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับทุกประการ

อย่างไรก็ตาม กรณีที่ผ่านมาคงเป็นเพียงแค่กระพี้เมื่อเทียบกับการเตรียมการรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ได้รับการยืนยันมาจาก นายแพทย์สุกิจ อัตโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎรว่า ได้มีการบรรจุญัตติไว้ในวาระรอการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว พร้อมกับการส่งญัตติให้รัฐบาลพิจารณาเพื่อจะมีการตอบกลับมาว่าพร้อมที่จะให้มีการซักฟอกวันไหน นั่นหมายความว่าเรื่องที่ร้องไปว่าญัตติเถื่อนนั้นที่บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าแค่แทคติกทางการเมืองก็ไร้ความหมาย

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับซีกรัฐบาลก็ยังคงเป็นในส่วนของพรรคสืบทอดอำนาจ ที่ก่อนหน้านั้นมีการตั้งทีมปราบมาร 11 คนที่มี ส.ส.รุ่นกระทง ล่าสุด นิโรธ สุนทรเลขา ประธานวิปรัฐบาลออกมาบอกว่า มีการตั้งทีมจอมยุทธ์ไว้อีก 2-3 คนแต่ไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ คงหนีไม่พ้นพวกรุ่นเก๋าที่อยากเสนอหน้าเรียกคะแนนจากผู้ถูกอภิปราย โดยเฉพาะผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ แต่ไม่ว่าจะตั้งชื่อกันให้สวยหรู ดูน่าเกรงขามอย่างไร สุดท้ายมันขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่ฝ่ายค้านจะนำมาซักฟอกและสิ่งที่รัฐมนตรีจะตอบว่าใครเคลียร์กว่ากัน

ส่วน 11 รัฐมนตรีที่ถูกซักฟอกพรรคร่วมอย่างประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย ไร้ปัญหา เพราะสายสัมพันธ์ที่เชื่อมร้อยกันไว้กับ ส.ส.ต่างฝ่ายโดยเฉพาะพรรคของ อนุทิน ชาญวีรกูล จะมีปัญหาทำให้เสียรังวัด ดิสเครดิตกันหนีไม่พ้นผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เมื่อทั้งพรรคเศรษฐกิจไทยและพรรคเล็กบางพรรคต่างย้ำจุดยืนว่าจะยกมือหนุนแน่นอนเพียงหนึ่งเดียวคือ พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.เท่านั้น แบบนี้จะไม่ให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจหงุดหงิดหัวใจได้อย่างไร ยิ่งใกล้วันซักฟอกแล้วยิ่งไม่ให้ราคา ด้อยค่ากันแบบนี้มันยิ่งทำให้เครียด ไม่พอใจ แต่ถ้าปรับตัวเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้วย่อมเข้าใจว่าอยากได้ความสบายใจต้องทำอย่างไร

Back to top button