ได้เวลาซื้อหุ้นธนาคาร

เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นบวกไม่เยอะเพราะคาดหมายว่าผลประกอบการไตรมาสสองของบจ.ในตลาดฯ น่าจะย่ำแย่กว่าไตรมาสแรก แต่ดัชนี SET ยังยืนบวกต่อได้เล็กน้อย


เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นบวกไม่เยอะเพราะคาดหมายว่าผลประกอบการไตรมาสสองของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ น่าจะย่ำแย่กว่าไตรมาสแรก แต่ดัชนี SET ยังยืนบวกต่อได้เล็กน้อย โดยมีหุ้นกลุ่มที่เพิ่งประกาศงบครึ่งปีแรกไปแล้วที่นำร่องไปก่อน กลายเป็น “เดอะแบก” พากันเขียวยกแผงนับแต่หุ้นที่ราคาสูงสุดอย่าง KBANK ไปจนถึงหุ้นที่ราคาต่ำสุดอย่าง CIMBT

เหตุที่ราคาหุ้นกลุ่มแบงก์พากันบวกจนส่งอิทธิพลต่อตลาดด้วยมูลค่าซื้อขายครึ่งวันวานนี้ ปาเข้าไปถึง 3.35 หมื่นล้านบาทซึ่งจนถึงใกล้ปิดตลาดบ่ายน่าจะใกล้เคียงกับ 1.0 แสนล้านบาทอีกครั้ง

อัตราการเพิ่มของราคาหุ้นกลุ่มธนาคารตั้งแต่ 1%-3,0% บ่งบอกถึงภาวะแข่งกันซื้อสะสมรอบใหม่ของหุ้นกลุ่มที่มีขนาดของตลาดมากถึง 30% ของมาร์เก็ตแคป ว่าเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าได้เวลาซื้อสะสมต่อเนื่องของหุ้นกลุ่มธนาคารระลอกใหม่

ไม่ว่าจะมีกรณีข่าวร้ายเรื่องของบริษัทที่รับทำธุรกรรมด้านคริปโตอย่าง Zipmex ได้ประกาศระงับการเพิกถอนเงินบาทและสินทรัพย์ดิจิทัล ก.ล.ต. ได้มีหนังสือให้ Zipmex ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าว พร้อมผลกระทบที่มีต่อลูกค้า โดยต้องคำนึงถึงการคุ้มครองประโยชน์ของลูกค้า ตลอดจนการปฏิบัติตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด…ซึ่งถือเป็นข่าวร้ายที่รบกวนตลาดรุนแรง

จากผลของการที่กำไรสุทธิจริงมากกว่าผลของประเมินกำไรของ 7 ธนาคารจากหัวแถว เรียกว่าเกินคาด จากที่เคยคาดว่า กำไรสุทธิโดยรวมของทั้ง 7 รายออกมาสูงกว่าที่ประเมิน ว่าโดยรวมอยู่ที่ 42,000 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้ดีมากแต่ก็ไม่ได้ดูขี้เหร่อะไร คือกำไรก็จะเติบโตสัก 19% แต่สามารถทำได้สูงกว่า เพราะมีเหตุผลสนับสนุนคือ ตัวเลขหนี้เสียหรือ NPL ที่ลดลงชัดเจน และความสามารถในการควบคุมคุณภาพของสินเชื่อที่ดีกว่าเดิมชัดเจน ในขณะที่ปัจจัยเสริมสำคัญคือกรณีธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีการผ่อนคลายมาตรการยกเลิกจำกัดเพดานให้แบงก์จ่ายเงินปันผล ไม่เกินกว่า 50% ของกำไรสุทธิต่อหุ้น ด้วยเหตุผลว่า เกรงจะมีผลกระทบต่อเงินกองทุน ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกหรือส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มนี้อย่างมีนัยสำคัญ

ถ้าหากไม่รวมเอากำไรพิเศษของ BAY ในไตรมาสสองปีก่อนมารวมเอาแต่ว่าจะปรับตัวลดลงสัก 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก จากการปรับปรุงทางบัญชีเมื่อมีการคำนวณการลงทุนในหลักทรัพย์แบบ mark to market ประเด็นหลักของกำไรที่เติบโตสูงมากจากปีก่อน ก็จะมาจากตัวรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เติบโตตามสินเชื่อ สินเชื่อยังเติบโตได้ดีแม้ว่าเศรษฐกิจอาจจะเติบโตได้ไม่เยอะ

ที่น่าสนใจคือวิธีการบันทึกมูลค่าเงินลงทุนแบบไหนที่ทำให้กำไรเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ก็จะลดลงประมาณสัก 5% ซึ่งเป็นผลมาจากหนึ่งตลาดทุน ซึ่งเป็นประเด็นชั่วคราวที่ไม่มีผลกระทบต่อกำไรในการดำเนินงานจริงแต่อย่างใด

ความมั่นใจในการถือหุ้นกลุ่มธนาคารจากผลประกอบการที่ดีมากตอกย้ำว่า กลุ่มนี้ กำลังจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ที่สำคัญกว่านั้นคือ หุ้นกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีหรือบุ๊กแวลูทั้งสิ้น

การที่ ธปท.ก็คาดการณ์ตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้โตถึง 3.3% ซึ่งดีกว่าปีที่แล้วที่โต 1.6% ฉะนั้นเทรนด์ของเศรษฐกิจดีขึ้น กำไรของแบงก์ปีนี้เติบโตสัก 14% NLP ratio ต่าง ๆ คิดว่าคงจะทรงตัวหรือว่าดีขึ้นในกรณีที่ถ้าเกิดแบงก์มีการที่จะขายหนี้ให้กับตัวบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) มากขึ้น แล้วก็การประเมินมูลค่า (valuation) แบงก์เองก็ไม่ได้แพง เทรดอยู่ที่ประมาณสัก 0.7 เท่า โดยค่าเฉลี่ย อันนี้คือภาพที่เป็นบวก

คำชี้แนะจากนักวิเคราะห์ทุกสำนักที่ประชันเสียงกันว่าขอให้น้ำหนักกับการซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารแบบสะสมจึงมีความชอบธรรมและเหตุผลในตัวเองอย่างที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้

ถามว่าซื้อตัวไหนดีกว่ากัน คำตอบอย่างเหมาเข่งคือ “ซื้อตัวไหนก็ได้ที่รู้จักดี” ยกเว้นหุ้น TTB ที่อดทนมากเกิน

Back to top button