พาราสาวะถี

ตอนนี้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งแล้วว่าพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.กับน้องเล็กผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เดินกันคนละทางสร้างดาวคนละดวงแน่นอน


แค่เริ่มขยับกับการเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง จากที่เคยถูกมองว่าเล่นเกมแยกกันเดินรวมกันตี ตอนนี้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งแล้วว่าพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.กับน้องเล็กผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เดินกันคนละทางสร้างดาวคนละดวงแน่นอน จากที่ก่อนหน้านั้นพี่ใหญ่พูดแบบมีไมตรีอยู่คนละพรรคก็เหมือนพรรคเดียวกัน เพราะคนส่วนหนึ่งก็แยกไปจากพรรคสืบทอดอำนาจ แต่น้องเล็กและลิ่วล้อไม่ได้คิดเช่นนั้น เริ่มกันท่าเตะตัดขาพี่ใหญ่ตั้งแต่คราวประกาศนโยบายเพิ่มเงินบัตรคนจน 700 บาทต่อเดือนแล้ว

โดยการยืนยันว่านโยบายนี้ต้นคิดมาจากน้องเล็ก แม้จะไม่พูดตรง ๆ แต่ก็เป็นการชี้นิ้วไปว่าพี่ใหญ่อย่ามาชุบมือเปิบเอาแต่ได้แบบนี้ นั่นยังดูน้อยไป ล่าสุดผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจลงพื้นที่อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ ป่าวประกาศให้ทั้ง ส.ส.ของพรรคสืบทอดอำนาจที่ไปต้อนรับ บรรดาข้าราชการและประชาชนทั้งหลายให้รับรู้ทั่วกันว่า การแก้ปัญหาน้ำที่สร้างความพึงพอใจให้กับทุกฝ่ายนั้น ตนเป็นคนดำเนินการทั้งสิ้น พี่ใหญ่แค่ได้รับมอบหมายให้ไปช่วยกำกับดูแลเท่านั้น

ประสาจิ๊กโก๋ก็ต้องบอกว่านี่เป็นการหยามหน้ากันชัด ๆ หลังเลือกตั้งครั้งก่อนก็ยึดกระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปดูแลเอง แล้วก็แต่งตั้งให้พี่ใหญ่เป็นประธานคณะกรรมการต่าง ๆ สารพัดที่โดดเด่นได้ใจประชาชนไม่น้อยคงเป็นเรื่องน้ำและที่ดิน แต่พอจะถึงฤดูกาลเลือกตั้งน้องเล็กดันจะมาเคลมว่าเป็นผลงานของตัวเองไปเสียอย่างนั้น นี่ไงที่เขาถึงกล้าประกาศมาตั้งแต่ยึดอำนาจว่า ถ้าไร้คนชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประเทศจะเดินไม่ได้ เพราะข้าเก่งและดีเพียงคนเดียว

นิสัยแบบนี้ทางการเมืองเมื่อเข้าสู่กลไกปกติ หากพรรคไหน หัวหน้าพรรคใดยังคงเลือกคบหรือสนับสนุนอยู่ ประชาชนก็ต้องช่วยกันพิจารณาแล้วว่า คนเหล่านั้นสมควรที่จะได้รับความไว้วางใจอีกต่อไปหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สมชัย ศรีสุทธิยากร ได้มีการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวกล่าวถึงผู้นำ 7  แบบ ที่ประเทศไทยไม่ต้องการ ไม่รู้ว่าตรงกับใครบ้าง น่าจะเป็นอีกหนึ่งคู่มือสำหรับประชาชนที่จะใช้ประกอบการตัดสินใจในวันหย่อนบัตร

คุณสมบัติดังว่าซึ่งไม่เป็นที่ต้องการนั้นก็คือ ผู้นำที่ปากบอกไม่แสวงหาอำนาจ แต่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาและรักษาอำนาจ ผู้นำที่กล่าวร้ายต่อนักการเมือง แต่เอานักการเมืองตัวร้ายมาอยู่ข้างกาย ผู้นำที่บอกว่าตัวเองไม่โกง แต่ไม่เปิดเผยทรัพย์สิน ผู้นำที่ต่อต้านคอร์รัปชัน แต่ญาติมิตร คนใกล้ชิด ล้วนแสวงหาประโยชน์จากโครงการของรัฐ ผู้นำที่เคารพกติกา แต่เขียนกติกาเพื่อตัวเองและพวกพ้องอย่างหน้าด้าน ๆ ผู้นำมีความกักขฬะ ก้าวร้าว ไม่เคยมีคำว่า สุภาพชนในกมลสันดาน และผู้นำที่หลงตนเอง คิดว่า มีแต่ตนเท่านั้นที่เก่ง ดี มีความสามารถ ทั้ง ๆ ที่จริงแล้ว ทุกอย่างเป็นตรงข้าม

อย่างที่บอกว่า การเป็นนักการเมืองเต็มตัวของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจรอบนี้ มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ไม่ใช่ว่าคะแนนนิยมที่หล่นวูบอย่างน่าใจหาย หากแต่เป็นเรื่องความคิดและการปรับตัวทางการเมืองของตัวท่านผู้นำเอง ตราบใดที่ยังเชื่อว่าตัวเองเก่ง ตัวเองดีอยู่คนเดียว และถือเป็นผู้มีพระคุณกับบรรดาองคาพยพทั้งหลายที่ช่วยค้ำยันขบวนการสืบทอดอำนาจมาจนถึงทุกวันนี้ ก็จะมองไม่เห็นความเป็นจริงในแง่ความรู้สึก ความต้องการ และความเดือดร้อนของประชาชน

ทุกอย่างที่ได้รับรายงานล้วนแต่เป็นสิ่งที่สวยหรู คิดเองเออเองว่าสำเร็จ ทุกอย่างที่เดินหน้ามาได้ทุกวันนี้เพราะตัวเองเก่ง ทั้งที่ความจริงนอกเหนือจากความสงบที่ใช้อำนาจเผด็จการ คสช.ควบคุมไว้นั้น ไม่ได้มีอะไรที่ถือเป็นผลงานเป็นชิ้นเป็นอันสำหรับประชาชนแม้แต่น้อย คนละครึ่งหรือบัตรคนจน ก็ไม่ได้สร้างความมั่งคั่ง ยั่งยืนให้กับประชาชนแต่ประการใด มิหนำซ้ำ จำนวนคนยากจนกลับเพิ่มขึ้น จนถูกค่อนขอดว่าถ้ายังอยู่กันต่อไปอาจจะต้องเพิ่มนโยบายบัตรขอทานก็เป็นได้

เมื่อทุกอย่างมันไม่เป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่เข้าใจภาวะทางการเมืองอย่างถ่องแท้ มุ่งแต่ที่จะใช้กลไกจากอำนาจเผด็จการที่ตัวเองวางแผนกันไว้ เพื่อหวังกุมความได้เปรียบ มันจึงทำให้ท่วงทำนองนับตั้งแต่เปิดตัวจนถึงวันนี้ แทนที่จะเปรี้ยงปร้างกลับเป็นเรื่องตรงข้าม ผิดกับพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ที่นับวันดูเหมือนว่าจะมีความสุขกับการเดินไปสู่สนามเลือกตั้งครั้งใหม่ เห็นได้จากการจัดงานระดมทุนล่าสุดที่น่าจะมีเม็ดเงินเข้าพรรคมากกว่า 510 ล้านบาท

การใช้ชื่องาน “พลังประชารัฐ ใจบันดาลแรง” ก็เหมือนเป็นสิ่งที่ทำให้น้องเล็กแสลงหูแสลงตา และเจ็บจี๊ดในหัวใจไม่ใช่น้อย จากคนที่เหมือนจะหมดไฟไปแล้ว พอได้นั่งรักษาการนายกรัฐมนตรี และน้องเล็กประกาศแยกทางกันทางการเมืองเท่านั้น ทุกอย่างกลับตาลปัตร พี่ใหญ่กระชุ่มกระชวย ฟิตปั๋งในทันทีทันใด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่ต้องมารับหน้าที่แบกเสลี่ยงให้คนนั่งเสวยสุขเหมือนกว่า 8 ปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ความคิดและจังหวะก้าวทางการเมืองของพี่ใหญ่ดูแตกต่างจากน้องเล็กอย่างสิ้นเชิง

ยิ่งการเฉลยถึงเหตุผลที่ถูกล้อต่อคำตอบที่ว่า “ไม่รู้ ไม่รู้” มาตลอดการทำหน้าที่รองนายกฯ ตั้งแต่รัฐบาลเผด็จการ คสช.จนกระทั่งปัจจุบัน ยิ่งทำให้เห็นความเป็นคนน้ำไม่เต็มแก้ว ไม่เย่อหยิ่ง อวดตัวว่าเก่งเหนือคนอื่น ซึ่งนี่ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของคนที่ได้ชื่อว่าเซียนการเมือง คำตอบที่บอกว่าไม่รู้เพราะมีผู้ที่รู้มากกว่า ต้องให้คนที่รู้มาแนะนำว่าทำงานอย่างไร จะได้รู้เท่ากับคนที่รู้ คนที่รู้มีอยู่รอบตัวเต็มไปหมด จะได้นำความรู้มาใส่ตัวเท่าที่จะทำได้ เท่านี้ก็ทำให้นักเลือกตั้งตัดสินใจได้แล้วว่าระหว่างพี่ใหญ่กับน้องเล็กควรคบใครมากกว่ากัน

อย่างไรก็ตาม จากการใช้ใจบันดาลแรงและไม่ต้องมาแบกเสลี่ยงให้น้องเล็กนั่งอีกแล้วนั้น มันจึงทำให้พี่ใหญ่กล้าที่จะประกาศว่า “วันนี้รู้แล้ว พร้อมแล้ว ผมพร้อม พร้อมที่จะเป็นนายกฯ แต่อยู่ที่คนเลือกนะครับ” ยิ่งการได้ อุตตม สาวนายน และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ จากสร้างอนาคตไทยกลับมาบ้านหลังเดิม ยิ่งเป็นการเติมความเชื่อมั่นให้กับพี่ใหญ่ และเป็นการตอกย้ำว่าเส้นทางการเมืองกับน้องเล็กนั้นหากไม่มีปาฏิหาริย์หรือใช้วิชาสามานย์ใด ๆ โอกาสที่จะได้กลับมาร่วมงานกันถือว่าน้อยลงไปทุกที

Back to top button