SET รอดูเฟดส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยและงบ Q1/66

ประเด็นการผิดนัดชำระหนี้ ยังไม่ได้เข้าไปในราคาของสินทรัพย์เสี่ยงมากนัก แม้ว่า CDS Spread ที่ใช้ประกันการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์


InnovestX มองว่า ประเด็นการผิดนัดชำระหนี้ ยังไม่ได้เข้าไปในราคาของสินทรัพย์เสี่ยงมากนัก โดยในปัจจุบัน แม้ว่า CDS Spread ที่ใช้ประกันการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ในตลาดอื่น ๆ ยังไม่ได้พิจารณาความเสี่ยงมากนัก โดยเฉพาะเงินดอลลาร์ยังคงอ่อนค่า ทั้งนี้ InnovestX มองว่า ความเสี่ยงที่รัฐบาลพรรค Democrat และสภาล่างฯ ที่นำโดย Republican จะตกลงกันไม่ได้ เนื่องจากจุดยืนของพรรค Republican ในการเพิ่มเพดานหนี้ ที่จะครบกำหนดในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค. จะต้องแลกกับการลดการใช้จ่ายภาครัฐที่เป็นจุดยืนของพรรค Democrat ซึ่งหากไม่สามารถตกลงกันได้อาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้มีมากขึ้น ซึ่งจะยิ่งส่งผลกระทบแง่ลบต่อภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ในปัจจุบันชะลอตัวชัดเจนขึ้น

ทั้งนี้ InnovestX มองว่า ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเริ่มสูงขึ้นหลังวิกฤตธนาคาร ซึ่งทำให้สภาพคล่องไหลออกจากธนาคารโดยเฉพาะขนาดเล็ก ทำให้เกิดสภาวะสินเชื่อตึงตัว โดยที่ผ่านมา สินเชื่อหดตัวถึงกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงเดือน มี.ค. อย่างไรก็ตาม การที่ตัวเลขเศรษฐกิจยังคงชะลอลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับ ราคาบ้านที่วัดจากดัชนี Case-Shiller เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในเดือน ก.พ. ขณะที่ในรายงาน Fed Minute เดือน มี.ค. คณะกรรมการส่วนใหญ่ยังคงส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งก่อนจะคง ทำให้ InnovestX เชื่อว่า Fed จะยังขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค. ไปอยู่ที่ 5-5.25% ก่อนจะคงดอกเบี้ยเพื่อวัดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

ส่วนภาพตลาดหุ้นไทย InnovestX มองว่า ช่วงสั้นมอง SET จะเคลื่อนไหวในกรอบ หลังมองตลาดยังรอดูผลประกอบการไตรมาส 1/2566 ของกลุ่ม Real Sector ที่กำลังทยอยประกาศในเดือน พ.ค. นี้ อีกทั้งมองนักลงทุนอยู่ระหว่างรอดูการส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ยหลังจากการประชุมนโยบายการเงินของ FED (2-3 พ.ค.), ECB (4 พ.ค.) และ BoE (11 พ.ค.) โดยหาก FED มีการส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ มองตลาดจะ Risk off จากกังวลเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงมากขึ้น กลยุทธ์แนะนำให้ถือเงินสดมากขึ้น ขณะที่หาก FED มีการส่งสัญญาณหยุดขึ้นดอกเบี้ย มองตลาดรับรู้เศรษฐกิจถดถอยแต่ไม่รุนแรงเกินที่คาดไว้ กลยุทธ์แนะนำให้ Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ ดังนี้

1) หุ้น Best of the best ซึ่งมีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีกำไรในปี 2566-67 เติบโตเฉลี่ยสูงกว่ากำไรของกลุ่มหุ้นที่เราแนะนำ Outperform และ Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER และ PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่บริเวณ -1.0 ถึง -2.0 S.D. จึงมองเป็นโอกาสซื้อสะสม เลือก AU, BBL, BDMS, CPALL และ GULF สำหรับนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้ว แนะนำ Let Profit Run

2) หาจังหวะซื้อสำหรับหุ้นที่คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 จะออกมาเติบโตดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (Earning Play) ซึ่งมองยัง outperform SET ได้เลือก BJC, ADVANC, OSP และ ZEN

3) รอจังหวะซื้อหลังประกาศงบสำหรับหุ้นที่คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 จะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้และมีสัญญาณฟื้นตัวในไตรมาส 2/2566 เลือก KCE, MINT และ AOT

ขณะที่มีกลุ่มหุ้นแนะนำ “ขายหรือหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน” เนื่องจากผลการดำเนินงานยังไม่สดใส และมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ NRF, LPN, MST, SAWAD, QH, KTC, PSH, THRE, TCAP, MTC, KEX, KISS, TU, CBG, GFPT, BTG, BTS, BEM, JASIF, SAT, IIG และ NER

Back to top button