หุ้น 7 กลุ่มรับนโยบาย ‘พท.’

ขณะกำลังเขียนต้นฉบับ ยังไม่ทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลว่าจะได้ข้อยุติรูปแบบใด แต่หากอ้างอิงจากข้อมูลล่าสุด นั่นคือ “พรรคเพื่อไทย” ได้เป็นแกนนำต่อการจัดตั้งรัฐบาลต่อจากพรรคก้าวไกล


ขณะกำลังเขียนต้นฉบับ

ยังไม่ทราบความคืบหน้าเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลว่าจะได้ข้อยุติรูปแบบใด

แต่หากอ้างอิงจากข้อมูลล่าสุด

นั่นคือ “พรรคเพื่อไทย” ได้เป็นแกนนำต่อการจัดตั้งรัฐบาลต่อจากพรรคก้าวไกล

มีหน้าที่ในการเจรจาเพื่อหาเสียงสนับสนุนมาให้มากเท่าที่จะมากได้

ทำให้นักวิเคราะห์ และนักลงทุนต่างหันกลับมาทบทวน ด้วยการดูนโยบายด้านเศรฐกิจของเพื่อไทยกันอีกครั้งว่ามีอะไรบ้าง

แล้วนโยบายแต่ละข้อส่งผลบวกต่อกลุ่มธุรกิจใด แล้วหุ้นตัวไหนบ้าง

ล่าสุด บล.กสิกรไทย มีการวิเคราะห์เรื่องดังกล่าวไว้ พร้อมบอกว่านโยบายของเพื่อไทย “เป็นมิตรกับตลาดหุ้น”

และมีการระบุว่า ดัชนีอยู่ระหว่างการทดสอบระดับก่อนการเลือกตั้งที่ 1,560 จุด จาก “พรรคก้าวไกลยอมถอย” และให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

“นักลงทุนต่างสนับสนุนนโยบายที่ส่งเสริมการเติบโต และเป็นมิตรกับตลาดของพรรคเพื่อไทย” กสิกรฯ ระบุไว้

หากย้อนกลับไปดูทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย

พวกเขาได้มีการตั้งเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจโตให้ได้ 5% จากปัจจุบันที่มีโอกาสเติบโต 3%

และคาดว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น จะกระจายไปสู่ “ทุกระดับ” และลดความยากจน

นโยบายของเพื่อไทยยังเน้นไปที่ผู้มีรายได้น้อย และกลุ่ม เอสเอ็มอี เพราะเป็นกลุ่มหลักที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ค่าครองชีพสูงขึ้น และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแบบ K-shaped

นโยบายเหล่านี้ สอดคล้องกับแคมเปญ “รดน้ำที่ราก” ของเพื่อไทย

การส่งเสริมการลงทุน จะผ่านโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการน้ำ การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ การค้าเสรี และเศรษฐกิจดิจิทัล

เพื่อไทยยังมีการเน้นย้ำว่าจะ “ไม่มีการเก็บภาษีขายหุ้น” หรือภาษีธุรกรรม

ที่สำคัญ กองทุน LTF อาจได้รับการพิจารณาใหม่อีกครั้งหนึ่ง

หากมาทบทวนนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยที่ประกาศไว้ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

ประกอบด้วย การเพิ่มรายได้ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การอุดหนุนเพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน มาตรการบรรเทาหนี้ การจัดการน้ำ และแรงจูงใจด้านภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ / SME และการจ้างงาน

แม้ว่าอาจจะยังเร็วเกินไปที่จะคาดการณ์นโยบายของรัฐบาลใหม่

แต่เชื่อว่ารัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยจะให้ความสำคัญกับแคมเปญ “กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท” เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศในระยะสั้น

แคมเปญนี้ ถูกตั้งงบประมาณจำนวน 5.6 แสนล้านบาท

กระเป๋าสตางค์ดิจิทัลจำนวน 10,000 บาท สำหรับผู้ที่มีอายุเกิน 16 ปี

เงินจำนวนนี้สามารถนำไปใช้กับสิ่งของที่จำเป็นในชีวิตประจำวันภายในระยะทาง 4 กิโลเมตรจากที่อยู่ที่ลงทะเบียนภายใน 6 เดือน บล.กสิกรฯ คาดนโยบายนี้สร้างอัพไซด์ 1.0-1.5% ต่อจีดีพี ในปี 2567

บนประมาณการตัวทวีทางการคลัง (Fiscal Multiplier) ที่ 0.5 ในปีที่ 2 และ 0.947 ภายใน 5 ปี

ความสำเร็จที่สำคัญของนโยบายนี้จะขึ้นอยู่กับผลของตัวคูณ (Multiplier effect)

จากข้อมูลของเพื่อไทย จำนวนเงิน 5.6 แสนล้านบาท จะได้รับการสนับสนุนจากรายได้ของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น 2.6 แสนล้านบาท ในปี 2567 และ 1 แสนล้านบาท ในปีต่อ ๆ ไปจาก Fiscal Multiplier

และ 1.1 แสนล้านบาทจากงบประมาณประจำปี และ 9 หมื่นล้านบาท จากการลดโครงการเงินอุดหนุนอื่น ๆ

นโยบายของเพื่อไทยที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจน่าจะเป็นผลดีต่อตลาดและน่าจะสนับสนุนเงินทุนไหลเข้า

และสภาพคล่องของตลาดปัจจุบัน

ประเด็นนี้ ทำให้ บล.กสิกรฯ คาดกำไรในตลาด (หุ้น) ปี 2567 จะเติบโต 18.3% เป็น 1 ล้านล้านบาท

โดยพิจารณาจากจำนวนหุ้นทั้งหมด 191 บริษัท ที่ได้วิเคราะห์ และสมมติฐานจีดีพีในปี 2567 เติบโต 3.6%

และยังเห็นอัพไซด์ต่อประมาณการกำไรของตลาดในปี 2567 จากพรรคเพื่อไทยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้จีดีพี เติบโตตามเป้าหมายที่ 5%

ภายใต้การวิเคราะห์ความอ่อนไหว การเติบโตของจีดีพีที่เพิ่มขึ้น 1% นั้น

ส่งผลให้มีอัพไซด์ต่อกำไรของตลาดในปี 2567 เพิ่มขึ้น 2.4%

กลุ่มธุรกิจที่ขับเคลื่อนส่วนใหญ่ ได้แก่ กลุ่มธนาคาร (+6.2%) กลุ่มการเงิน (+5.6%) กลุ่มบริหารสินทรัพย์ (AMC) (+4.1%) กลุ่ม ICT (+3.4%) กลุ่มพาณิชย์ (+3.4%) กลุ่มขนส่ง 2.9%) และกลุ่มที่อยู่อาศัย (+ 2.1%)

กลุ่มธนาคาร แนะนำ TTB KTB BBL กลุ่มการเงิน แนะนำ MTC HENG TIDLOR AEONTS KTC

กลุ่มบริหารสินทรัพย์ แนะนำ CHASE CHAYO กลุ่ม ICT แนะนำ TRUE ADVANC กลุ่มพาณิชย์ แนะนำ COM7 SYNEX AURA CPALL

กลุ่มขนส่ง แนะนำ AOT SJWD และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แนะนำ CPN SIRI

Back to top button