ฝรั่ง-กองทุน ดันดัชนี

วานนี้ (30 ส.ค.) นักลงทุนตลาดต่างประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอีก 1,976 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบัน (กองทุน) ซื้ออีก 2,103 ล้านบาท


วานนี้ (30 ส.ค.) นักลงทุนตลาดต่างประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอีก 1,976 ล้านบาท

เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบัน (กองทุน) ซื้ออีก 2,103 ล้านบาท

หากย้อนกลับไปดูในช่วง 10 วันทำการ พบว่า ต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยประมาณ 2.5 พันล้านบาท

และกองทุนซื้อสุทธิแล้ว 1.05 หมื่นล้านบาท

ประเด็นที่น่าสนใจนอกเหนือจากทั้งกองทุนและต่างชาติซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง

คือ ดัชนีช่วง 10 วันทำการ

ปิดในแดนบวก 9 วัน และปรับลดลง เพียง 1 วัน

ส่วนดัชนีในช่วง 10 วัน ที่ว่านี้ วิ่งขึ้นมาแล้วกว่า 60 จุด

เหลืออีกเพียง 24 จุด ดัชนีจะขึ้นมาแตะระดับ 1,600 จุด

หุ้นที่วิ่งขึ้นมาสะท้อนว่า ตลาดหุ้นไทยกำลังเป็น “ขาขึ้น” รอบใหม่

มีปัจจัยหนุนจากการเมืองมีความชัดเจน และนโยบายที่ออกมาถือว่า “เป็นมิตร” กับตลาดหุ้นพอสมควร

นักวิเคราะห์หลายคนแสดงความมั่นใจว่า ดัชนีตลาดหุ้นน่าจะขึ้นไปที่ระดับ 1,600 จุดได้ไม่ยากนัก

หุ้นกลุ่มที่จะเข้ามาดันดัชนี คือ กลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL CRC BJC และหุ้นในกลุ่มขนาดมาร์เก็ตแคปรองลงมาจากตัวอื่น แม้ว่าราคาจะวิ่งมาไกลแล้ว

ทว่า ยังมีการเข้ามาไล่ซื้อเพื่อดันราคา

หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล อย่าง BDMS และ BH

ต่างถูกดันราคาขึ้นมาต่อเนื่อง และมีส่วนต่อการดันดัชนีเช่นกัน

เช่นเดียวกับกลุ่มธนาคาร BBL และ SCB ที่ต่างชาติและกองทุนเข้ามาไล่เก็บเข้าพอร์ตสนุกสนาน

ส่วน กสิกรไทย หรือ KBANK หลังจากก่อนหน้านี้ราคาลงมาบริเวณ 120 บาทบวกเล็กน้อย

ล่าสุด ราคาถูกดันขึ้นมายืนเหนือ 130 บาท ก่อนจะถูกขายทำกำไร โดยอาศัยข่าวลบเป็นช่วงของการพักฐาน ก่อนจะมีการเข้ามาดันราคารอบใหม่อีกครั้ง

แนวรับ KBANK จะอยู่ที่ 130 บาท เป็นจังหวะการเข้าสะสม

ส่วนหุ้นแบงก์ เช่น กรุงไทย KTB ถูกทั้งกองทุนและต่างชาติเข้ามาเก็บตั้งแต่ราคา 16-17 แล้ว

หลังจากนั้น ราคาไต่ระดับขึ้นมายืนเหนือ 20 บาท

ส่วนข่าวลบจากเรื่อง “ดิจิทัลวอลเล็ต” ว่าจะกระทบ “เป๋าตัง” นั้น

ถือเป็นจังหวะขายทำกำไรช่วงสั้นของทั้งกองทุนและต่างชาติ ก่อนที่ราคาจะย่อตัวแล้วเข้ามาดักเก็บอีกครั้งที่บริเวณ 19.00 บาท

ช่วงราคากรุงไทยระหว่าง 19.00–20.50 บาท เป็นจังหวะของการเล่นรอบ

หุ้นสื่อสาร เป็นอีกกลุ่มหุ้นที่ทั้งกองทุนและต่างชาติซื้อสะสม

เริ่มตั้งแต่บิ๊กแคป ADVANC ถูกไล่ราคาขึ้นมาจาก 208 บาท แล้วมาถูกขายทำกำไรที่ 220-225 บาท

หลังจากนั้นถูกเทขายออกมา เพราะระดับราคาดังกล่าวเป็น “แนวต้าน” ใหญ่

หากย้อนกลังไปดูกราฟ จะพบว่า ราคาหากถูกดันขึ้นมาที่บริเวณ 220 บาท บวกเล็กน้อย

มักจะถูกขายทำกำไรทุกครั้ง

เพราะในมุมมองของนักลงทุนสถาบันทั้งไทยและต่างชาติ

ต่างมองว่าราคาหุ้นอาจจะมีอัพไซด์จำกัด

กลุ่มที่เกี่ยวกับท่องเที่ยว เช่น โรงแรม และร้านอาหาร เป็นเป้าหมายด้วย ทั้ง MINT ZEN M ERW และ SHR

นักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า สัญญาณของฟันด์โฟลว์ เริ่มเห็นการไหลเข้า

 แต่จะเป็นการ “ทยอยซื้อ” สะสมไปเรื่อย ๆ มากกว่าจะเข้ามาซื้อแบบตูมตาม ดันดัชนีวิ่งพรวดบวกเป็นหลักสิบ ๆ จุด และระหว่างทางจะมีสลับขายออกมาบ้าง

ส่วนกองทุนยังเป็นภาพเชิงบวกเด้วยเช่นกัน

เพราะยังมีการถือเงินสดในมือไว้อยู่พอสมควร

Back to top button