พาราสาวะถี

โบกมือลาเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 หลังทำงานมานานกว่า 9 ปีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ทำงานในฐานะผู้นำประเทศวันสุดท้าย


โบกมือลาเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 หลังทำงานมานานกว่า 9 ปีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ทำงานในฐานะผู้นำประเทศวันสุดท้ายที่ทำเนียบรัฐบาลถึงสิ้นเดือนสิงหาคมเท่านั้น ถือเป็นการส่งไม้ต่อให้กับผู้นำคนใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ แม้หลายเรื่องจะทำไม่ได้ดังใจหวังหรือตามราคาคุยเหมือนตอนยึดอำนาจเมื่อปี 2557 ก็ตาม และน่าจะเป็นการรูดม่านปิดฉากแก๊ง 3 ป.ไปในตัวด้วย เมื่อน้อง 2 ป.วางมือทางการเมือง หันหลังกลับบ้าน เหลือเพียงพี่ใหญ่ที่ยังคงขอยืนหยัดเป็นหลักให้พรรคสืบทอดอำนาจต่อไป

แม้อาจจะพลาดหวังจากที่คิดว่าจะได้เป็นนายกฯ ส้มหล่น แต่อย่างน้อยการที่คนของพรรคได้เข้าไปกุมบังเหียนในกระทรวงสำคัญหลายกระทรวงก็ถือว่าคุ้มแสนคุ้ม โดยเฉพาะน้องชายร่วมสายเลือด “บิ๊กป๊อด” พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่ได้นั่งรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ ทส. ขณะที่คนรู้ใจ ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็ผงาดคุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หลังจากที่เคยถูกน้องเล็กเฉดหัวพ้นเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยกระทรวงเดียวกันนี้ไปก่อนหน้า

จะว่าไปการจัดโผ ครม.เศรษฐา 1 อย่างที่รู้กัน จำเป็นต้องผสมผสานระหว่างทีมงานตัวความหวังของพรรคเพื่อไทย กับคนหน้าเก่าจากขั้วรัฐบาลเดิม ด้วยข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจที่ทำให้กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลทำกันได้แค่นี้ สิ่งที่หลายคนจับตามองกันอีกเรื่องหนึ่งนอกเหนือจากการเตรียมขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจทั้งภาคการท่องเที่ยว ลงทุน และการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยผ่านดิจิทัลวอลเล็ต นั่นก็คือ งานด้านการเกษตร

เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไป สมศักดิ์ เทพสุทิน คู่ซี้กับ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ขยันลงพื้นที่รับฟังปัญหาจากเกษตรกรมาโดยตลอด และยอมรับว่าอยากเป็นเสนาบดีกระทรวงนี้ เดิมทีก็เข้าใจว่าจะไม่มีปัญหา เพราะธรรมนัสจะไปคุม ทส. แต่พี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ส่งน้องชายไปกุมบังเหียนแทน จึงทำให้ต้องกลับมาที่กระทรวงเกษตรฯ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เจ้าของวลี “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” เป็นได้แค่รองนายกฯ เพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การได้หัวโขนเพียงเท่านี้คงไม่สมศักดิ์ศรีคนที่ยอมย้ายข้างในวินาทีสุดท้าย ต้องคอยดูบทบาทที่จะได้รับจากนายกฯ คนที่ 30 ในฐานะรองนายกฯ จะได้กำกับดูแลกระทรวงไหน ถ้าใช้ความถนัดเป็นตัวตั้งย่อมหนีไม่พ้นกระทรวงเกษตรฯ แน่นอน รวมไปถึงงานด้านการท่องเที่ยวและกีฬาด้วย ยิ่งเมื่อมองไปยังสายสัมพันธ์ของรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ล้วนแต่คนกันเองทั้งนั้น รายของธรรมนัสอาจจะเคยปีนเกลียวกันมาก่อนในยุครัฐบาลสืบทอดอำนาจ แต่ก็เป็นอดีตไปแล้ว

เพราะก่อนหน้าก็เคยอยู่ภายใต้ชายคาพรรคของ ทักษิณ ชินวัตร มาเหมือนกัน การพูดคุยและจับมือกันทำงานจึงไม่น่าจะมีปัญหา ยิ่งมีรัฐมนตรีช่วยที่ชื่อ อนุชา นาคาศัย ที่มาจากพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่สายสัมพันธ์ในฐานะอดีตคนกลุ่มสามมิตรในพรรคสืบทอดอำนาจ หากได้ทำงานร่วมกันยิ่งจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ส่วน ไชยา พรหมา จากเพื่อไทย สส.ผู้คร่ำหวอดในวงการเมืองมานาน หากไม่เกิดการเหยียบตาปลากัน เชื่อว่างานด้านการเกษตรของรัฐบาลนี้น่าจะไปได้สวย

ถือเป็นความฉลาดในการวางตัวรัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงเกษตรฯ รอบนี้ เพราะมีตัวแทนของประชาชนมาจากทุกภาคที่เป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคที่ร่วมรัฐบาล ทั้งเหนือตอนบน ตอนล่าง ภาคกลาง และภาคอีสาน ถ้าทำผลงานเข้าตานั่นหมายถึง คะแนนนิยมที่ถูกมองว่าจะสู้พรรคก้าวไกลไม่ได้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น ต้องไม่ลืมว่าผลของการเลือกตั้งที่ออกมาเที่ยวนี้ส่วนหนึ่งคือไม่อยากให้ขบวนการสืบทอดอำนาจกลับมาบริหารประเทศอีก จึงเทให้ฝ่ายประชาธิปไตยเต็มที่โดยเฉพาะก้าวไกล ส่วนเพื่อไทยไม่แลนด์สไลด์ตามคาด ทั้งปัจจัยคนในพื้นที่เบื่อผู้สมัครหน้าเก่าและถูกพวกเดียวกันใช้แผนสกปรกเล่นงาน

ผ่านมาจนถึงการวางตัวรัฐมนตรีกันแล้ว ความพยายามของการเล่นเกมเตะถ่วงเพื่อให้กระบวนการตั้งรัฐบาลเป็นไปด้วยความล่าช้ายังดำเนินการกันอยู่ ผ่านการร้องเรียน เรียกร้องต่อคุณสมบัติของรัฐมนตรีบางราย เข้าใจได้ แต่ทั้งหมดมันอยู่ที่การตรวจสอบของฝ่ายที่เกี่ยวข้องนั่นก็คือ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มีบทสรุปออกมาอย่างไร ก็ว่าไปตามนั้น แต่รายของ พิชิต ชื่นบาน อดีตทนายความถุงขนม 2 ล้านถึงขนาดต้องส่งให้กฤษฎีกาให้ความเห็น

ด้วยเหตุผลที่ว่ามีบางฝ่ายแสดงความเป็นห่วงคุณสมบัติอาจไม่ขัด แต่จะมีปัญหาเกี่ยวกับจริยธรรม อันจะเห็นได้ว่าทางสำนักเลขาฯ ครม.ไม่ได้ตัดสินใจเรื่องนี้เอง แต่ชงให้กฤษฎีกาพิจารณา พอฟังคำตอบจากเศรษฐาก็น่าจะเห็นทิศทางแล้วว่าไม่มีผล เพราะเจ้าตัวย้ำหนักแน่น เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับว่าที่รัฐมนตรีทุกคน หากไม่ผิดข้อบทกฎหมาย และตรวจสอบคุณสมบัติผ่านแล้วก็ถือว่า “ไม่ผิดจริยธรรม” อะไรที่เป็นนามธรรมย่อมอธิบายกันด้วยเหตุและผลได้ยาก มันอยู่ที่ว่าใคร ฝ่ายไหนมอง มองด้วยความรู้สึก ตัดสินด้วยหลักการ ข้อกฎหมายหรือความเชื่อ

ประเมินสถานการณ์จากการที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจถือฤกษ์โบกมือลาทำเนียบรัฐบาลไปแล้ว และนายกฯ คนที่ 30 บอกว่าจะมีคำตอบทุกอย่างเกี่ยวกับคุณสมบัติรัฐมนตรีภายในวันนี้ (1 กันยายน) แนวโน้มที่เราจะได้เห็นโฉมหน้า ครม.เศรษฐา 1 ภายในสุดสัปดาห์นี้หรือไม่เกินต้นสัปดาห์หน้าก็มีความเป็นไปได้สูง ดูการวางกำหนดการประชุมเพื่อแถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภาไว้วันที่ 8 กันยายน ทุกอย่างก็คงจะเดินไม่ผิดไปจากนี้

แต่ดูเหมือนว่างานในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อไทยในฐานะพรรคแกนนำคงต้องกำชับกับพรรคร่วมทั้งหมดให้ความร่วมมือกันให้มากกว่านี้ เพราะวันวานเกิดสภาล่มเนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบประเดิมรับรัฐบาลใหม่กันแล้ว ถือเป็นสัญญาณไม่น่าจะสู้ดีเท่าไหร่ เชื่อได้ว่าตลอดระยะเวลาของสภาสมัยนี้จะมีภาพเช่นนี้เกิดขึ้นถี่ยิบ นับว่าเป็นบททดสอบความเป็นหนึ่งเดียวของรัฐบาลผสมได้เป็นอย่างดี นี่จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้เพื่อไทยกุมขมับต่อการจะถูกต่อรองทางการเมืองในฝ่ายบริหาร แลกกับเสียงที่เข้มแข็งในสภา

Back to top button