พาราสาวะถี

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ครม.เศรษฐา 1 ลงมาแล้ว โดยรายชื่อเสนาบดีเป็นไปตามโผที่ปรากฏตามหน้าสื่อก่อนหน้านั้น


มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ครม.เศรษฐา 1 ลงมาแล้ว โดยรายชื่อเสนาบดีเป็นไปตามโผที่ปรากฏตามหน้าสื่อก่อนหน้านั้น ขาดแต่เพียง พิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทยที่ขอถอนตัวไปเพราะถูกวิจารณ์เรื่องจริยธรรม และอีกหนึ่งคือ ไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกวางตัวให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้ประกาศถอนตัว แต่มีการแขวนไว้เพราะมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ที่คาดการณ์กันว่าน่าจะเป็นเรื่องคดีความ

ยังไม่เป็นที่เปิดเผยว่าเป็นส่วนไหน เพราะคดีที่ปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้าคือ รถลัมโบร์กินี อะเวนตาโดร์ ที่ถูกสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส.เรียกตรวจสอบ เจ้าตัวก็ได้ชี้แจงไปแล้วว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตรงนี้ทางพรรคสืบทอดอำนาจคงจะรอให้กระบวนการตรวจสอบได้ข้อยุติก่อน จึงจะชงชื่อไผ่ให้ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง เพราะไม่ได้มีการส่งรายชื่อคนอื่นมาดำรงตำแหน่งแทนแต่อย่างใด

เช่นเดียวกันกับเก้าอี้ของพิชิตที่เป็นโควตาของเพื่อไทย เมื่อพรรคไม่มีใครมาเสียบแทน ก็หมายความว่ารัฐมนตรีใน ครม.เศรษฐา 1 ยังเหลือตำแหน่งที่จะเติมเต็มอีก 2 เก้าอี้ เหตุผลที่ไม่รอแต่งตั้งให้ครบตามจำนวน เนื่องจากไม่อาจจะปล่อยให้เวลายืดเยื้อออกไปได้ จึงนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อเดินหน้า ครม.ให้ทำงานแก้ปัญหาของบ้านเมืองและประชาชนไปก่อน โดยเศรษฐาจะนำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณในวันที่ 5 กันยายนนี้ เวลา 17.00 น.

หลังจากนั้นก็จะเป็นการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภา จากเดิมที่กำหนดไว้ว่าจะเป็นวันศุกร์ที่ 8 กันยายนนี้ แต่เศรษฐาบอกว่าขอดูความเรียบร้อยของเนื้อหานโยบายต่าง ๆ ที่จะนำเสนอก่อน ถ้าทันก็จะเป็นไปตามกำหนดการเดิม หากไม่ทันก็จะเลื่อนไปเป็นวันจันทร์ที่ 11 กันยายนนี้ มาถึงตรงนี้แล้วบอกได้คำเดียวว่า ไม่มีเวลาที่รัฐบาลพลิกขั้วภายใต้การนำของเพื่อไทยจะต้องมาดึงจังหวะ ถือฤกษ์อะไรอีกแล้ว ต้องยึดแนวทางแบบเดียวกับ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.คือ ทำงาน ทำงาน ทำงาน

มีคำถามต่อนายกฯ คนที่ 30 การป่าวประกาศว่าจะเดินหน้านโยบายทำทันทีมี 2 เรื่องที่คนของเพื่อไทยคุมเองน่าจะไม่มีปัญหานั่นก็คือ ดิจิทัลวอลเล็ตเติมเงินเข้ากระเป๋า 1 หมื่นบาท กับแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยการทำประชามติให้มี ส.ส.ร.มาเป็นผู้ยกร่าง ซึ่งทาง กกต.ก็เปิดทางแล้วว่า งบประมาณที่จะใช้น่าจะน้อยกว่าการจัดการเลือกตั้ง สส.เสียอีก แต่ที่คนเป็นห่วงว่าอาจจะติดขัดคงเป็นเรื่องการจะลดค่าไฟฟ้า ราคาน้ำมันทันที เพราะรัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องนี้ไม่ใช่คนของพรรคแกนนำ

อย่าลืมว่ารองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็น พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ แม้เศรษฐาจะเชิญ สุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ ในฐานะรองนายกฯ และอดีตรัฐมนตรีพลังงานมาสอบถามความเป็นไปได้แล้ว มีแนวโน้มที่จะทำได้ แต่นั่นเป็นคนที่หมดอำนาจไปแล้ว ผู้ที่มีอำนาจปัจจุบันทั้งในฐานะนักกฎหมาย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มาทำหน้าที่รัฐมนตรีพลังงานจะเกิดข้อกังขาต่อการดำเนินนโยบายปฏิรูปพลังงาน พลังงานทางเลือกต่าง ๆ ของพรรคเพื่อไทยหรือไม่

ที่เป็นจุดวัดใจสำคัญของกรณีนี้อาจจะไม่ใช่ตัวบุคคล แต่เป็นเรื่องของกลุ่มทุนที่หนุนหลังพรรคที่พีระพันธุ์นั่งเป็นหัวหน้าพรรค อย่างที่รู้กันคือ กลุ่มทุนด้านพลังงานตัวเป้งของประเทศทั้งนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะกล้าหักเพื่อเอาใจเพื่อไทยแลกกับการขัดใจผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการเช่นนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่าแนวโน้มที่คนไทยจะได้ใช้พลังงานราคาสูงต่อไปก็ยังคงมีอยู่เช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงการเปิดเสรีและการปฏิรูปพลังงานด้านต่าง ๆ เรื่องนี้คนของพรรคก้าวไกลน่าจะรู้ดี

หน้าตาของ ครม.เศรษฐา 1 อาจจะไม่ว้าว เพราะเน้นไปที่การแก้ปัญหาทางการเมืองเพื่อให้ตั้งรัฐบาลกันให้ได้ก่อน รวมไปถึงการต่อรองที่เกี่ยวข้องกับตัวของ ทักษิณ ชินวัตร จึงได้เห็นการจัดสรรตำแหน่งสำคัญหลายกระทรวงไปให้กับคนของพรรคขั้วอำนาจเก่า ท่ามกลางข้อสงสัยและไม่พอใจของ สส.เพื่อไทยจำนวนไม่น้อย แต่ก็โวยวายอะไรมากไม่ได้เพราะเข้าใจในความจำเป็น จึงตั้งความหวังกันว่าหลังจากได้เห็นผลของการทำงานกันได้ระยะหนึ่งแล้ว อาจจะขยับปรับ ครม.ให้ถูกฝาถูกตัวกันอีกรอบ

ไม่ว่าใครจะมองอย่างไร มีรัฐมนตรีหนึ่งรายที่ไม่สนใจกระแสที่ถูกจุดขึ้นนั่นก็คือ สุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถูกมองว่าเป็นพลเรือนไม่เป็นที่ยอมรับของคนมีสี แต่ความจริงเป็นการสร้างและปั่นกระแสตามปฏิบัติการณ์ไอโอเหมือนที่ผ่านมา ด้วยความที่เป็นนักการเมืองมานาน ประสบการณ์และสายสัมพันธ์ย่อมไม่ธรรมดา จะเห็นได้ว่าหลังจากที่ได้รับการแต่งตั้งเจ้าตัวได้เดินทางเข้าพบ พลเอก ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรีกลาโหม ในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยทันที

นอกจากนี้ ในวันนี้ (4 กันยายน) รัฐมนตรีกลาโหมพลเรือนรายนี้ยังจะเดินสายเข้าพบ พลอากาศเอก สุกำพล สุวรรณทัต อดีตรัฐมนตรีกลาโหม พลเอก เชษฐา ฐานะจาโร อดีตผู้บัญชาการทหารบกและอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง รวมทั้ง พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีด้วย อาจจะดูเป็นการคารวะอดีตนายทหารที่มีสายสัมพันธ์ทางการเมืองมากับพรรคไทยรักไทยจนถึงเพื่อไทย แต่คนเหล่านี้ก็ถือว่ายังมีบารมีและเป็นที่ยอมรับของคนในกองทัพปัจจุบันอยู่พอสมควร

ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยความที่ไม่ได้เป็นทหารมียศถาบรรดาศักดิ์ แต่สุทินก็ทำการบ้านมาดีถึงขั้นประกาศว่าเมื่อมากุมบังเหียนกลาโหมนั่งเป็นสนามไชย 1 แล้ว จะไม่แทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้าย เพราะตนเองไม่มีรุ่นไม่มีพวกพ้องทางทหาร และเชื่อว่าระบบการแต่งตั้งโยกย้ายของทุกเหล่าทัพสมบูรณ์แบบดีอยู่แล้ว และไม่ยอมให้มีเรื่องทุจริตเกิดขึ้น รวมไปถึงจะยกระดับคุณภาพชีวิต ดูแลเรื่องบ้านพักสวัสดิการของทหาร และปรับปรุงเงินบำนาญของทหารผ่านศึก และทหารพราน ใครว่าเจ้าตัวไม่รู้เรื่องทหาร 

ด้วยความเป็นพลเรือน เจ้าตัวจึงจะใช้กลไกการทำงานของรัฐมนตรีกลาโหมทั้ง 6 ประเภทคือ สำนักงานปลัดกลาโหม ฝ่ายเสนาธิการประจำรัฐมนตรีกลาโหม คณะทำงานรัฐมนตรีกลาโหม สำนักงานรัฐมนตรีกลาโหม ที่ปรึกษารัฐมนตรีกลาโหม และเลขานุการรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งเป็นทั้งฝ่ายประจำและฝ่ายการเมือง เป็นการประกาศล่วงหน้าว่าสามารถทำงานร่วมกันได้กับทุกคนทุกฝ่าย แนวทางทำงานแบบนี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือต่อต้าน เก้าอี้นี้ไม่ต้องรอนานอาการของคนในจะออกให้เห็นกันเร็วกว่าที่อื่น

Back to top button