พาราสาวะถี

ไม่เลื่อนตามที่เป็นข่าว เศรษฐา ทวีสิน นั่งหัวโต๊ะประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจแห่งชาติ หรือ ก.ตร.เคาะวาระสำคัญแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนที่ 14


ไม่เลื่อนตามที่เป็นข่าว เศรษฐา ทวีสิน นั่งหัวโต๊ะประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจแห่งชาติ หรือ ก.ตร.เคาะวาระสำคัญแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือ ผบ.ตร.คนที่ 14 ที่ประชุมลงมติ 10 ต่อ 1 ตั้ง พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร.อาวุโสอันดับ 4 กุมบังเหียนวงการสีกากี เช่นนี้ก็น่าสนใจว่า ปัญหาการประลองกำลังกันภายในที่กำลังเป็นประเด็นร้อนอยู่ในเวลานี้จะทวีความรุนแรงขึ้น หรือจบลงแบบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

การเมืองภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามวาทกรรมที่บิ๊กโจ๊กว่าไว้นั้น ความจริงแทบจะไม่ต้องเดาเสียด้วยซ้ำว่า สิ่งที่รอง ผบ.ตร.รายนี้ย้ำกับนักข่าวตลอดเวลาที่ให้สัมภาษณ์รู้แล้วว่าใครเป็นคนออกคำสั่งให้ค้นบ้านของตัวเอง โดยที่ พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ไม่รู้เรื่อง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็รู้แล้วว่าสารที่สื่อมานั้นหมายถึงใคร เพราะผู้ที่จะสั่งตำรวจระดับกองบัญชาการได้นั้น ย่อมเป็นบุคคลที่อยู่ในระนาบเดียวกันกับบิ๊กโจ๊กนั่นเอง

การขุดคุ้ยของบรรดาสื่อทั้งหลายหาความเชื่อมโยง ในส่วนของบิ๊กโจ๊กย่อมถูกมองไปที่ความเป็นไปได้กับการมีส่วนเรื่องของพนันออนไลน์ เนื่องจากลูกน้องคนสนิทถูกออกหมายจับเกือบสิบนายขนาดนั้น นายย่อมถูกเพ่งเล็งเป็นธรรมดา ขณะเดียวกันปมจากคดีกำนันนกก็มองข้ามไม่ได้ ไม่ใช่คนสั่งค้นบ้านเป็นผู้ร่วมขบวนการหรืออยู่ในเครือข่ายกำนันคนดัง หากแต่การทำคดีของบิ๊กโจ๊กมันเป็นเหมือนการไม่ไว้หน้าคนระดับเดียวกันที่ดูแลงานอีกด้าน เป็นการรุกในคดีอย่างดุดันจนกระทั่งเกิดการโอนคดีซึ่งเหมือนเป็นการส่งสัญญาณไปถึงบิ๊กโจ๊กกลาย ๆ ว่าหากไม่ลดราวาศอกจะต้องได้เห็นดีกัน งานนี้คงต้องดูกันยาว ๆ

หันไปดูการเมืองว่าด้วยพรรคเพื่อไทยกันบ้าง วันอังคารที่ผ่านมาเศรษฐาใช้เวลาหลังเวลาราชการเดินทางไปร่วมการประชุม สส.ของพรรค แสดงอาการออดอ้อนเอาใจ จะพยายามมาร่วมการประชุมให้ได้ทุกวันอังคาร หวังว่า สส.ทุกคนจะเข้าใจที่ไม่ได้เดินทางเข้าพรรคทุกวันเหมือนก่อนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แค่นี้ก็หวานเจี๊ยบแล้ว ยังตามมาด้วยการหยอดคำหวานอีกว่าจะลงพื้นที่แต่ละจังหวัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อไปพบปะประชาชน รับฟังปัญหาและเสียงสะท้อน ทำให้คนที่เป็นตัวแทนสบายใจว่าความเดือดร้อนที่ไปรับมาจะได้รับการแก้ไข

คำพูดทำเอาบรรดานักเลือกตั้งของพรรคแกนนำรัฐบาลเคลิ้มคงเป็นเรื่องที่บอกว่า ขอฝากกับทุกคนไว้ว่า หากมีอะไรก็ยินดีเหมือนเดิม มายืนตรงนี้ก็มาในฐานะสมาชิกพรรค ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก เพราะมาแค่สัปดาห์ละครั้งจากที่เคยมาทุกวัน ซึ่งก็ทราบดีอยู่แล้วว่า มีเรื่องที่อยากพูดคุย และการส่งสารถึงความทุกข์สุขของประชาชน ก็อยากฟังคนที่อยู่ใกล้ชิดประชาชนจริง ๆ แล้วจะได้ไปช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชนได้อย่างเต็มที่ หมายความว่า นายกฯ ไม่ได้ทำตัวห่างเหินกับ สส.เหมือนที่หวั่นใจกัน

ไม่เพียงแค่เศรษฐาที่สร้างความสบายใจให้กับ สส.เพื่อไทยเท่านั้น แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ก็สื่อสารเหมือนการส่งซิกว่าพร้อมแล้วที่จะรับเก้าอี้หัวหน้าพรรคนต่อไป เพราะมีการย้ำว่า อยากจะบอกทุกคนตรงนี้ว่าตนเองพร้อมที่จะทำเพื่อพรรค พร้อมที่จะทำให้พรรคแข็งแรงขึ้น เราจะโตไปด้วยกัน เมื่อรัฐบาลเข้มแข็ง พรรคของเราก็เข้มแข็งด้วยมิติที่ว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนได้อย่างไร จะทำให้ประชาชนเข้าใจในความหวังดีของพรรคได้อย่างไร ตนว่าตอนนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ และตนยินดีที่จะซัพพอร์ตช่วยเหลือพรรคในทุก ๆ เรื่อง

คำพูดที่หนักแน่นและยืนยันว่าการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่อย่างไรเสียก็ต้องเป็นอุ๊งอิ๊งแน่นอน คือการที่ลูกสาวคนเล็กของ ทักษิณ ชินวัตร บอกว่า หัวใจของตนอยู่ที่นี่ ฉะนั้น เราจะโตไปด้วยกัน เข้มแข็งไปด้วยกัน เมื่อเราเจอมรสุมต่าง ๆ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน ตนอยากขอให้ทุกคนมีกำลังใจเยอะ ๆ เอากำลังใจซัพพอร์ตนายกฯ ของพรรค และรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ แน่นอนว่าในพรรคจะต้องเข้มแข็งและแข็งแรงขึ้น ไม่ว่าอย่างไรจะทุ่มเทและโตไปด้วยกัน

อย่างที่บอกว่า หลังจากที่เข้าสู่อำนาจบริหารได้สำเร็จ โดยที่เศรษฐาทำหน้าที่ผู้นำประเทศอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย การเปลี่ยนแปลงภายในพรรคเพื่อไทยที่จะเกิดขึ้น ก็จะนำไปสู่ทิศทางของการเรียกความเชื่อถือเชื่อมั่นให้กลับคืนมา ทำคู่ขนานไปกับการเร่งสร้างผลงานของรัฐบาล โดยมีอุ๊งอิ๊งชูภาพของความเป็นคนรุ่นใหม่ นักบริหารที่มีความเชื่อมั่น และปรับภาพลักษณ์ของเพื่อไทยให้มีความทันสมัย ตอบโจทย์ทางการเมืองที่เปลี่ยนไปได้มากขึ้น ส่วนบรรดาผู้อาวุโสก็จะจับงานการเมืองในเรื่องของคอนเนคชั่น ดูแลหัวคะแนน และเป็นแบ็คอัพในการที่จะตอบโต้ทางการเมือง โดยไม่ให้ผู้บริหารพรรคชุดใหม่ต้องเปลืองตัว

ผลพวงจากการพลิกขั้วที่ผ่านมา ด้วยอารมณ์โกรธของฝ่ายยืนยันเรื่องประชาธิปไตย และเสียงคำรามของพวกถือหางพรรคก้าวไกล ทำให้มีการมองกันว่าเลือกตั้งครั้งหน้าเพื่อไทยจะเหนื่อยกว่าการชิงชัยทุกครั้งที่ผ่านมา ถึงขั้นปรามาสกันว่าอาจจะเข้าสู่โหมดเดียวกันกับประชาธิปัตย์ แต่การเมืองเป็นเรื่องที่จะฟันธงกันไว้นานขนาดนั้นไม่ได้ ข้อเขียนของ ปิยบุตร แสงกนกกุล ที่เขียนถึงก้าวไกลซึ่งเจ้าตัวประกาศว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย โดยมี 2 ตอน ตอนแรกที่ปล่อยออกมาน่าจะทำให้พรรคคู่แข่งมองเห็นจุดอ่อนของพรรคที่ชนะเลือกตั้งอยู่ไม่น้อย

หนึ่งในเนื้อหาที่ปิยบุตรชี้และเชื่อว่าตรงใจกับคนจำนวนไม่น้อยนั่นก็คือ พรรคก้าวไกลพยายามยกระดับการเมืองไทยใหม่ ด้วยการสร้างมาตรฐานของนักการเมืองให้สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม เมื่อคนของพรรคมีกรณีละเมิดเรื่องเหล่านั้น ทั้งเรื่องเล็กแต่ถูกตีฟูขยายใหญ่ ทั้งเรื่องใหญ่ที่พรรคไม่อาจคุมคนของตนได้ถ้วนทั่ว ก็จะถูกปฏิบัติการข่าวสารของฝ่ายตรงข้ามขยายผล พร้อมกับเรียกร้องมาตรฐานตามที่พรรคตนเองได้โฆษณาเอาไว้ เริ่มมีให้เห็นแล้วเช่นกรณีของ ปดิพัทธ์ สันติภาดา ที่พาคณะไปทัวร์สิงคโปร์

บุคลิกภาพของ สส.และความใหม่ของ สส.ก็เช่นเดียวกัน จะกลายเป็นจุดที่ถูกนำไปใช้โจมตี จากเดิม ความใหม่ ความสด การไม่เป็นนักการเมืองมาก่อน ไม่ได้อยู่ในตระกูลการเมือง การมีจุดยืนชัดเจนที่เป็นจุดเด่น จะค่อย ๆ ถูกทำให้เป็นพวกหัวร้อน อ่อนประสบการณ์ บริหารไม่เป็น ทำงานกับคนอื่นไม่ได้ คิดว่าตนเองวิเศษคนเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่คิดคบใครและไม่มีใครคบ จนกลายเป็นจุดอ่อนไป เหมือนที่บอกไว้ก่อนหน้าบางส่วนเริ่มพูดพรรคนี้ไม่ได้เป็นรัฐบาลก็สมควรแล้ว นี่คือการเมืองระหว่างทางอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ

Back to top button