KBANK ยกการ์ดสูง.!

ปิดฉากการแจ้งงบงวดไตรมาส 3/2566 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับกลุ่มแบงก์พานิชย์ ซึ่งภาพรวมส่วนใหญ่พอไปวัดไปวา


ปิดฉากการแจ้งงบงวดไตรมาส 3/2566 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับกลุ่มแบงก์พานิชย์ ซึ่งภาพรวมส่วนใหญ่พอไปวัดไปวา ทำผลงานได้ตามที่คาดหมาย บ้างก็เติบโตได้ทั้งจากไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันของปีก่อน บ้างก็เติบโตแค่ช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน อาจชะลอตัว ก็ว่ากันไป…

อ้อ…ที่น่าผิดหวังก็มีนะ แต่คงไม่ต้องบอกนะว่าเป็นแบงก์สีอะไร..? ดูจากราคาหุ้นเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนก็น่าจะรู้..??

ที่น่าสนใจ จะเห็นว่าในไตรมาสนี้หลาย ๆ แบงก์ยังเลือกที่จะยกการ์ดสูง โดยเฉพาะแบงก์สีเขียว ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ที่ตั้งสำรองหนี้เสียสูงปรี๊ดดด หรือภาษาทางการเรียกว่า ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) สูงถึง 12,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระดับ 9,948 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.07% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ซึ่งอยู่ที่ 12,784 ล้านบาท

จึงเห็นกำไรสุทธิของแบงก์สีเขียวอยู่ที่ 11,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.69% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10,574 ล้านบาท

ในขณะที่งวด 9 เดือนแรกปีนี้ ตั้งสำรองฯ ไปแล้ว 38,269 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ระดับ 29,135 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 33,017 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 32,579 ล้านบาท

เรียกว่าตั้งสำรองฯ สูงแล้ว…สูงอีก และคาดว่าจะสูงต่อไป…

นั่นหมายความว่า หากไม่นับรวมการตั้งสำรองฯ ก้อนใหญ่ ในไตรมาสนี้ KBANK จะมีกำไรจากการดำเนินงานปาไป 27,294 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 23,484 ล้านบาท ส่วนงวด 9 เดือน จะมีกำไรจากการดำเนินงานสูงถึง 81,298 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 29,135 ล้านบาท

ส่วนสารตั้งต้นที่ทำให้ KBANK ต้องยกการ์ดสูงนั้น เป็นผลมาจากการเป็นแบงก์พ่อพระของผู้ประกอบการรายย่อยนั่นแหละ (ฐานลูกค้าเป็นรายย่อยเยอะ) ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มเปราะบาง เวลาเกิดวิกฤตก็มักซวนเซมีปัญหาก่อนเสมอ…ครั้นวิกฤตผ่านไปก็ฟื้นตัวได้ช้า ทำให้ต้องตั้งกำแพงสูงลิบลิ่วป้องกันไว้ก่อน…

ขณะเดียวกัน เป็นการส่งสัญญาณว่าลูกค้ารายย่อยยังมีปัญหา บางรายยังไม่ฟื้น ที่ฟื้นก็มีแค่กะปริบกะปรอยเท่านั้น สะท้อนถึงเศรษฐกิจที่ยังชะลดตัว จากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทำให้การเติบโตของภาวะเศรษฐกิจอยู่ในกรอบจำกัด…ก็สอดคล้องกับมุมมองของหน่วยงานรัฐและเอกชนที่พร้อมใจหั่นเป้าจีดีพีของไทยปีนี้ น่าจะเห็นตัวเลขโตแค่ 2.75-3.00% เท่านั้น จากเดิมเคยคาดว่าจะโตถึง 3.25-3.9%

KBANK จึงตกอยู่ในสภาพกำไรต่ำ…สำรองสูง โดยมีสำรองฯ เป็นตัวการสำคัญที่กดกำไรนั่นเอง..!?

โอเค…การตั้งการ์ดสูงของ KBANK ในระยะสั้นไม่สู้ดี เพราะไปกดกำไร ไม่เป็นที่สบอารมณ์ของผู้ถือหุ้น แต่ระยะยาวเป็นการป้องกันความเสี่ยง ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ก็น่าจะรับมือได้ดี…

ดีกว่าโชว์ตัวเลขกำไรสวยหรู…แต่ภูมิต้านทานต่ำ..!!

อย่างนั้นก็ไม่ต่างจาก สวยแต่รูปจูบไม่หอม นะออเจ้า..!!??

…อิ อิ อิ…

Back to top button