พาราสาวะถี

ถูกนำมาเปรียบเทียบและขยายผลทันที กับการลงพื้นที่ของ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในช่วงนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ


ถูกนำมาเปรียบเทียบและขยายผลทันที กับการลงพื้นที่ของ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในช่วงนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ทั้งที่ ความจริงเมื่อมองในภารกิจที่ไปทำคือการแนะนำตัวในฐานะผู้นำพรรคคนใหม่ แต่ฝ่ายเสี้ยมก็ไปตีว่าเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน เศรษฐา ทวีสิน เรื่องนี้ภายในพรรคเพื่อไทยต่างรู้ดี ยังไม่ถึงเวลา หากมาเร็ว เคลมเร็ว พรรคก็อาจจะจบเกมเร็วไปด้วยเช่นเดียวกัน

จากตัวเลือกที่มีอยู่เวลานี้ กับการเดินหน้าทำแต้ม สร้างผลงาน ผ่านกระบวนการบริหารของเศรษฐา ภายในวิสัยทัศน์ และการปวารณาตัวที่เดินเข้าสู่สนามการเมืองเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน จึงเป็นบุคคลที่เหมะสมกับสถานการณ์ทางการเมืองในเวลานี้ ไม่เฉพาะแวดวงการเมืองเท่านั้นที่ยกมือหนุน ภาคเอกชน บรรดายักษ์ใหญ่ทั้งหลายยังเห็นดีเห็นงาม เป็นการมาที่ถูกที่ถูกเวลา ในภาวะที่ประเทศต้องการความเชื่อมั่นในทุกด้าน โดยเฉพาะจากต่างประเทศ

กรณีการเปิดประเด็นนำเอาอุ๊งอิ๊งมากระแทกให้เศรษฐาเสียศูนย์นั้น เป็นความบ้องตื้นของฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะซีกการเมือง หรือพวกยังคงปฏิบัติการด้านข่าวสาร หรือ ไอโอ ตามที่ สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำเพื่อไทยย้ำ โดยเส้นทางการเมืองอุ๊งอิ๊งต้องขึ้นเป็นนายกฯ แน่ แต่การที่จะเป็นนายกฯ ไม่ใช่วันนี้ ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งพอสมควร เพราะวันนี้มีเศรษฐาเป็นนายกฯ ทำงานดีอยู่แล้ว และต้องทำงานต่อไปอีกยาว ๆ ไม่ใช่แค่วันนี้หรือพรุ่งนี้

ไม่เพียงเท่านั้นสมศักดิ์ยังขอร้องด้วยว่า “ขออย่าไปแซว ไปพูดหรือไปคุยในเรื่องเหล่านี้ คิดว่าไม่ใช่เรื่องสร้างสรรค์” เป็นการอ่านการเมืองตามหน้าเสื่อและเข้าใจบริบทของฝ่ายเสี้ยมเป็นอย่างดี ทั้งที่ความจริง เป็นที่รับรู้กันภายในพรรคอยู่แล้ว แผนการขับเคลื่อนทางการเมืองในซีกของทีมงานตระกูลชินวัตรนั้น งานด้านบริหารปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเศรษฐา พร้อมคณะทำงานระดับมันสมอง ที่ได้รับการการันตีแล้วว่า จะช่วยกันสร้างผลงานเรียกความนิยมให้กับพรรคได้

ถือเป็นทีมที่จะนำนโยบายสำคัญของพรรคไปผลักดันผ่านความเห็นชอบกับพรรคร่วมรัฐบาล ส่วนไหนที่ต้องส่งต่อไปยังสภาผู้แทนราษฎร พรรคก็จะทำการประสานเพื่อความมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาระหว่างกัน ทำให้เสียงในสภาฯเข้มแข็งและเป็นเอกภาพมากที่สุด ซึ่งการที่อุ๊งอิ๊งเข้ามากุมบังเหียนพรรค ก็เพื่อให้ทุกอย่างเป็นเอกภาพ สส.และสมาชิกพรรคเกิดความมั่นใจ ขณะเดียวกันก็จะถือโอกาสสร้างภาพลักษณ์ของพรรคให้เกิดเป็นทางเลือกใหม่ สำหรับคนรุ่นใหม่ รวมทั้งคนรุ่นเก่าที่เอือมระอากับการเมืองแบบเดิมด้วย

ด้วยความเข้าใจระหว่างเศรษฐาและแพทองธาร ที่ช่วงหาเสียงถือว่าได้ลุยร่วมกันอย่างเต็มที่ภายใต้แนวทาง “ครอบครัวเพื่อไทย” ในวันที่ไร้หัวโขนทั้งคู่คือศูนย์หน้าที่เป็นความหวังว่าจะนำพาพรรคไปสู่เป้าหมายแลนด์สไลด์ เพียงแต่ไปเจอกับกระแสและการเล่นเกมให้ร้ายพวกเดียวกัน ผลการเลือกตั้งจึงออกมาอย่างที่เห็น ดังนั้น หลังจากที่ยอมถูกตราหน้าว่าเป็นพวกตระบัดสัตย์ พลิกขั้วมาตั้งรัฐบาลสำเร็จแล้ว การพลิกโฉมเพื่อไทยจึงเกิดขึ้น

ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อคำพูดในการพลิกขั้ว หากแต่เป็นจังหวะเวลาที่จะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลง แน่นอนว่า การถูกแซะ ถูกเย้ยหยันตลอดเวลาว่ามีการเจรจากันไว้ล่วงหน้าแล้วว่าพรรคตั้งรัฐบาลจะมีพรรคไหนบ้าง ก็เป็นเรื่องของการเมืองประเภทเขี้ยวลากดิน แต่ไม่ได้ถูกต้องเสียทั้งหมด ปัจจัยสำคัญต่างรู้กันดีในแวดวงการเมืองและชนชั้นนำทั้งหลาย ยังไงพรรคก้าวไกล และ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ

แทบจะไม่ต้องอธิบายกันว่ามาจากสาเหตุใด หากไม่มืดบอดหรือแกล้งโง่กัน คำถามที่ตามมาคือ แล้วคดีที่พะรุงพะรังอยู่ในเวลานี้จะลงเอยอย่างไร ยุบก้าวไกลหรือไม่ พิธาจะโดนสอยหรือเปล่า อย่างแรกมีความเป็นไปได้ ไม่ต้องถามว่าผลที่ออกมาจะเกิดแรงกระเพื่อมแบบไหน มันขึ้นอยู่กับบทสรุปของคำวินิจฉัย หากยกเป็นข้อกฎหมายที่สามารถหยิบยกสิ่งไหน เรื่องใดก็ได้มาประกอบ ก็ทำให้ฝ่ายที่กังขายากที่จะโต้แย้งได้ ยิ่งกฎหมายใหม่ห้ามวิพากษ์วิจารณ์ มันก็เท่ากับการปิดปากไปโดยปริยาย

ส่วนกรณีของพิธา ย้ำมาตลอดมันขึ้นอยู่กับปมยุบก้าวไกล ถ้าพรรคไม่รอดคดีของพิธาก็จะถูกยก เป็นการหาทางออกให้กับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่อคดีถือหุ้นไอทีวีด้วย เพราะข้อเท็จจริงเรื่องสถานะความเป็นสื่อแม้แต่เด็กอมมือก็รู้ว่าเป็นอย่างไร มันยากที่จะไปบิดเบือนกันได้หากไม่เป็นพวกอย่างหนาขั้นสุด ซึ่งการรอดของพิธาในคดีนี้ก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเลือกได้พิธาอยากให้ตัวเองถูกจัดการแลกกับการคงอยู่ของพรรคก้าวไกลมากกว่า

ไม่เพียงเท่านั้น การอ่านเกมทางการเมืองของบรรดานักเลือกตั้งอาวุโส ยังมองข้ามช็อตไปอีกว่าด้วยมาตรฐานทางการเมืองของก้าวไกลที่ตั้งไว้สูง เพื่อให้แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่น ท้ายที่สุดมันก็จะวกกลับมาทำร้ายพรรคของตัวเอง เหมือนเช่นที่มีการขับ 3 สส.ออกจากพรรค และยังไม่มีใครคาดเดาได้ว่ารายทางจะเกิดเหตุอะไรกับสมาชิกหรือ สส.ของพรรคการเมืองนี้อีกหรือไม่ นั่นจึงทำให้เพื่อไทยไม่เสียเวลาที่จะตอแยกับกระแสของคู่แข่ง เดินหน้าลุยงานทั้งฝ่ายบริหารและการเมือง เนื่องจากยังเชื่อว่าฐานกองเชียร์ที่เคยหนุนแต่เปลี่ยนใจในการเลือกตั้งที่ผ่านมา จะกลับใจมาเชียร์และเลือกพรรคเหมือนเดิม

ไม่ใช่แค่ก้าวไกลเผชิญกับชะตากรรมทั้งที่เกิดจากตัวเองและผลแห่งคดีที่ถูกร้องเท่านั้น พรรคฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์ เพื่อไทยก็มองขาดเช่นกันไม่มีวันที่จะกลับมายิ่งใหญ่เป็นพรรคคู่แข่งได้เหมือนในอดีต ทั้งจากการถูกแย่งฐานเสียงจากพรรคที่เคยร่วมรัฐบาล อย่าง พลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ แต่ฐานที่เป็นพวกสลิ่มเดิม ก็แปรเปลี่ยนไปสนับสนุนก้าวไกลอยู่จำนวนไม่น้อยด้วยปัจจัยความชื่นชอบในบางประการ แนวโน้มของคนกลุ่มนี้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าอาจจะไปใช้สิทธิ์โหวตโน ถ้าเป็นเช่นนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะสามารถกลับมาเป็นผู้ชนะได้ เวลานี้จึงต้องก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างบ้าคลั่งกันต่อไป

Back to top button