ช่วงสั้นมอง SET มีโอกาสฟื้นตัว

InnovestX มองว่าปัจจุบันสถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มชะลอลงอย่างเด่นชัดมากขึ้น เห็นได้จากตัวเลข Flash PMI, รายงาน “Beige Book” และตัวเลขรายได้


InnovestX มองว่าปัจจุบัน (1) สถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มชะลอลงอย่างเด่นชัดมากขึ้น เห็นได้จาก (1.1) ตัวเลข Flash PMI ที่ชะลอลงหรืออยู่ในแดนลบ (1.2) รายงาน Beige Book” ของ Fed รายสาขาระบุว่า ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย โดยเฉพาะสินค้าขนาดใหญ่ (1.3) ตัวเลขรายได้ และการใช้จ่ายส่วนบุคคลสหรัฐฯ ชะลอลงชัดเจน (2) เงินเฟ้อเริ่มชะลอลงอย่างต่อเนื่อง ทั้ง Core PCE และเงินเฟ้อยุโรป

(3) ด้วยภาพดังกล่าว ทำให้ตลาดเริ่มมีการพูดถึงการลดดอกเบี้ยได้มากขึ้น โดยในกรณีสหรัฐฯ ตลาดมองว่าจะเริ่มลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน พ.ค. ส่วนในยุโรป ตลาดมองว่าจะเริ่มลดครั้งแรกได้ในเดือน เม.ย. อย่างไรก็ตาม InnovestX มองว่าการที่ดอกเบี้ยจะลงได้ เป็นเพราะเศรษฐกิจเริ่มมีปัญหามากขึ้น โดย InnovestX มองว่าเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งแรกของปี ด้านผลการประชุมกนง. InnovestX มองว่าการคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2023 และ 2024 ของธปท. ในช่วงที่ผ่านมาสูงกว่าความเป็นจริง โดยคิดว่าเศรษฐกิจจะไม่ชะลอมาก และเงินเฟ้อจะยังมีแรงส่งต่อเนื่อง ทำให้ขึ้นดอกเบี้ยแรงจนเกินไป

ขณะที่ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจมีมากขึ้น ทำให้ InnovestX มองว่าเป็นไปได้ที่ธปท.พร้อมจะลดดอกเบี้ยได้มากขึ้น หากเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้ ด้านการส่งออก เดือน ต.ค. ของไทย ที่ขยายตัวดีที่ 8.0% นั้นเป็นผลจากการส่งออกน้ำมันเป็นหลัก ขณะที่การส่งออกสินค้าสำคัญอื่น ๆ เช่น รถยนต์ อัญมณี ต่อเนื่อง แต่สินค้าที่สำคัญ เช่น ยางพารา อาหารทะเลกระป๋อง คอมพิวเตอร์ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ ยังหดตัว บ่งชี้ว่าความต้องการสินค้าส่งออกสำคัญยังคงเปราะบาง ท่ามกลางฐานในปีที่แล้วที่ค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ตามการนำเข้าที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นในทุกหมวดสินค้า ทั้งเชื้อเพลิง วัตถุดิบ อุปโภคบริโภค สินค้าทุนและยานพาหนะ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณแรกของการเติมสินค้าคงคลังและนำเข้าเพื่อการผลิต

ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้น InnovestX มองว่า ช่วงสั้น SET มีโอกาสฟื้นตัว หลังคาดจะเริ่มมีเม็ดเงินลงทุนในกองทุน TESG ทยอยเข้ามา ซึ่งจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้แก่ตลาดหุ้นไทย โดยคาดหวังการฟื้นตัวของหุ้นขนาดใหญ่หลังราคามีการปรับตัวลงแรงในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ Selective Buy” ดังนี้

1.หุ้น Big Cap. (SET50) ที่คาดเป็นเป้าหมายการลงทุนจากแผนจัดตั้งกองทุน TESG ซึ่งคัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่มีคุณสมบัติน่าสนใจ ดังนี้ 1) ได้ ESG Rating “AAA” หรือ “AA” และ 2) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงกว่า SET YTD เลือก SCGP, OR, CPALL, BEM, GULF, CRC, HMPRO ขณะที่หุ้น ESG Rating “A” ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวลงแรงมากในช่วงที่ผ่านมา แนะนำ AOT

2.หุ้น Big Cap. (SET50) ที่คาดเป็นเป้าหมายการลงทุนจากแผนจัดตั้งกองทุน TESG ซึ่งคัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่ได้ ESG Rating “AAA” และราคาหุ้นปรับขึ้นดีกว่า SET YTD อีกทั้งผลการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง และคาดให้ Div. Yield มากกว่า 5% ต่อปี เลือก PTT, KTB

3.นักลงทุนระยะยาวแนะนำเริ่มลงทุนแบบ Dollar-Cost-Average (DCA) เนื่องจากมองเป็นจังหวะที่ดีที่สุด หลัง SET ปรับลงแรงจนความเสี่ยงลดลงไปมากและราคาหุ้นอยู่ในระดับ Undervalue มาก โดยเลือก BBL, BDMS, BEM, CPALL, PTT และ SCC ซึ่งเป็นหุ้น SET100 ซึ่งเป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม และมี ESG Rating ระดับ AAA/AA, Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี และผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง

Back to top button