ขายไว้ก่อน

งานนี้ใครจะ “แฮปปี้” หรือ “ลั้นลา” ก็ไม่ใช่เรื่องที่ “โมนิก้า” ต้องไปบงการอะไรทั้งนั้น เพราะแต่ละคนก็มีความสุขในแบบของตัวเอง


งานนี้ใครจะ “แฮปปี้” หรือ “ลั้นลา” ก็ไม่ใช่เรื่องที่ “โมนิก้า” ต้องไปบงการอะไรทั้งนั้น เพราะแต่ละคนก็มีความสุขในแบบของตัวเอง เดี๊ยนถึงไม่ชอบไปจุ้นจ้านกับใครทั้งนั้น แต่เรื่องในแวดวงตลาดหุ้นไทยนั้นถอยไม่ได้จริง ๆ และต้องตามไปเผือกในทุกมุมแบบไม่ลดละ ผนวกกับอีฉันก็เฝ้าหน้ากระดานมาตั้งแต่สมัยละอ่อน และวันนี้เข้าสู่วัยที่ “สวยสะพรึง”..อุ๊ย..”สวยสะพรั่ง” จึงต้องเกาะติดทุกมิติเจ้าค่ะ

เหมือนกับการเด้งขึ้นของดัชนีเมื่อวันศุกร์ ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 1,382.51 จุด บวกไป 4.58 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.92 หมื่นล้านบาท มันอาจเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับนักลงทุนก็จริง แต่อย่าลืมว่า สถานการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้งด้วยกัน และทุกครั้งที่เด้งกลับก็ทำได้แค่ระดับ 1,430 จุดเท่านั้น “โมนิก้า” ถึงมองว่า การเล่นเที่ยวนี้น่าจะเป็นแบบเล่นรอบเหมือนที่ผ่านมานะตัวเอง

เนื่องจากอารมณ์ของตลาดหุ้นตอนนี้ออกไปในโทนผิดหวังกับผลกำไรที่ต่ำกว่าคาด จึงมีแรงขายออกมาอย่างถล่มทลายเมื่อมีเรื่องร้ายบางอย่างเข้ามากระทบ จึงต้องลุ้นกันว่า เที่ยวนี้ตลาดหุ้นไทยจะเอาอะไรมาดันดัชนีให้วิ่งทะลุแนวต้าน 1,400 จุด เพราะสิ่งที่เห็น ณ เวลานี้ก็คือ การเทรดของตลาดหุ้นไทยบน PE 18 เท่าในภาวะเศรษฐกิจไทยชะลอตัว อาจเป็นระดับที่สูงเกินไปสำหรับสถานการณ์ตอนนี้ (หุ้นแบงก์ยังเทรดไม่เกินพีอี 10 เท่า) นะจ๊ะ

ประเด็นดังกล่าวดูได้จากงบไตรมาส 4 ปี 66 ของแบงก์สีเขียว KBANK ซึ่งมีกำไรลดลงจากไตรมาส 3 ปี 66 ทั้งที่ยอดสินเชื่อโตได้เล็กน้อย มันเหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า ไตรมาส 1 ปี 67 น่าจะลำบาก! ซึ่งเป็นแรงกดดันที่ทำให้พวกสถาบันเร่งขายหุ้นออกมาอีกรอบ จนราคาหุ้นลงมากองอยู่ที่ 125.50 บาท ลบไป 3.50 บาท หรือลงไป 2.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.09 ล้านบาทแบบนี้..เสียวสันหลังสุด ๆ เลยจ้า!

อีกรายซึ่งตกที่นั่งลำบาก “โมนิก้า” ขอมองไปที่หุ้น CRC เพราะตั้งแต่มีข่าวเม้าท์พัวพันเกี่ยวกับการลงทุนใน “Selfridges Group” ก็ถูกรินขายหุ้นออกมาเป็นระยะ และหนึ่งในเหตุผลที่ทุกคนกังวลก็คือ อาจมีการเพิ่มทุนครั้งมโหฬาร และเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า ผนวกกับบรรยากาศตลาดหุ้นไม่เป็นใจ จึงกลายเป็นหุ้นกลุ่มแรก ๆ ที่ถูกถล่มขาย และส่งผลให้หุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 35.25 บาท ลบไป 2 บาท หรือลงไป 5.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.32 พันล้านบาทเจ้าค่ะ

ในเมื่อสถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดี “โมนิก้า” ก็ไม่แปลกใจที่หุ้น AWC จะถูกรินขายเหมือนกับรายข้างต้น เพราะเมื่อดูจากไซเคิลของหุ้นที่อยู่ในลักษณะเด้งแล้วลง ก็ไม่ต้องแปลกใจที่หุ้นจะย่อตัวลงอีกครั้ง ผนวกกับช่วงนี้เป็นช่วงของการลดน้ำหนักหุ้นใหญ่ จึงกลายเป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวพวกสถาบันจำเป็นต้องขาย เดี๊ยนเลยสังหรณ์ว่า การลงมายืนปิดที่ระดับ 3.84 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 2.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 230 ล้านบาท ยังไม่ใช่จุดรับของค่ะ

ส่วนรายที่เงียบหายไปนาน และไร้วี่แววจะฟื้นมาได้ “โมนิก้า” คงต้องมองไปที่หุ้น CPF เป็นรายถัดมา เพราะในมุมของข่าวเนื้อสัตว์เถื่อน ซึ่งมีออกมาไม่หยุดก่อนหน้านี้ มันทำให้หุ้นในวงการนี้เป๋กันเป็นแถว เดี๊ยนถึงเข้าใจเหตุผลที่หุ้นลงมายืนปิดที่ 18.10 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 1.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 460 ล้านบาท พร้อมกับต้องลุ้นว่า จุดเด้ง 3 ครั้งก่อนที่บริเวณ 18 บาท ยังทำงานได้ดีไหมพะย่ะค่ะ

เมาท์ถึงเรื่องเด้งขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ต้องมองไปยัง DELTA ซึ่งเป็นหุ้นที่ช่วยประคองดัชนีให้ยืนในแดนบวกได้อย่างลุ้นระทึก ผนวกกับราคาหุ้นก็เพิ่งเด้งจากฐานเก่าเป็นวันที่ 2 เดี๊ยนเลยไม่แน่ใจว่า การยืนปิดที่ระดับ 84 บาท บวกไป 1 บาท หรือขึ้นไป 1.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 968 ล้านบาท เหมาะต่อการเล่นตามน้ำขนาดไหน? เพราะสถานการณ์ยามนี้มันไม่แน่นอนอะไรเลยสักอย่างน่ะซี

คล้ายกับสถานการณ์ของ MGI ซึ่งบวกเย้ยฟ้าท้าดินแบบไม่กลัวตกสวรรค์ “โมนิก้า” ย่อมมองเป็นเรื่องของเจ้ามือที่คุมเกมได้อยู่หมัด ราคาหุ้นถึงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดมายืนปิดที่ระดับ 24.90 บาท บวกไป 1.20 บาท หรือขึ้นไป 5% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 318 ล้านบาทแบบนี้ มันไม่มีคำไหนมาอธิบายได้ดีกว่านี้อีกแล้วจริง ๆ..คิดดูซิ! PE 56 เท่ายังไปได้อีก แถมโดนจับติดแคชก็ยังไปต่อ..สุด ๆ ไปเลยนะคุณแม๊!

Back to top button