EPG เข้าสู่ SET100

นับเป็นข่าวดี สำหรับ EPG ที่ได้ยกระดับเข้าไปอยู่ใน SET100 ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ขึ้น โดยมีผลตั้งแต่ต้นปี 2559 สิ่งที่ตามมาคือตลาดฯจะให้ความสนใจมากขึ้น เนื่องจากจะมีสิ่งที่น่าสนใจ อย่างแนวโน้มอัตราการเติบโต CAGR ที่แข็งแกร่ง คือ 3 ปีที่ระดับสูงเป็น 25% สืบเนื่องจากการที่บริษัทเป็นผู้ชำนาญงานด้าน polymerization และกระบวนการผลิตที่มีความยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี


–คุณค่าบริษัท–

            

นับเป็นข่าวดี สำหรับ บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ที่ได้ยกระดับเข้าไปอยู่ใน SET100 ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ขึ้น โดยมีผลตั้งแต่ต้นปี 2559 สิ่งที่ตามมาคือตลาดฯจะให้ความสนใจมากขึ้น เนื่องจากจะมีสิ่งที่น่าสนใจ อย่างแนวโน้มอัตราการเติบโต CAGR ที่แข็งแกร่ง คือ 3 ปีที่ระดับสูงเป็น 25% สืบเนื่องจากการที่บริษัทเป็นผู้ชำนาญงานด้าน polymerization และกระบวนการผลิตที่มีความยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี

ในแง่ของนักวิเคราะห์คาดว่าธุรกิจพลาสติกที่ใช้สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์จะเป็นแรงผลักดันการเติบโตที่ดีในอนาคต จากทั้งหมด 3 ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก สืบเนื่องจากปริมาณขายในสินค้าพลาสติกที่เป็นระดับพรีเมี่ยม ซึ่งมีการพัฒนาร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในประเทศสหรัฐฯและญี่ปุ่น

ทั้งนี้คาดว่ารายได้จากการขายจะมีอัตราการเติบโต CAGR ระหว่างปี 59-61 ที่ระดับ 22% โดยสินค้าพลาสติกที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์จะมีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด อีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะยืนเหนือกว่าระดับสูงกว่า 33% ในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้

ส่วนด้านผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/2559 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2558 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2,270.30 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,676.44 ล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้จากการขายสินค้าและรายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 424.26 ล้านบาท หรือ 0.152 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 141.91 ล้านบาท หรือ 0.068 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานงวดหกเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2558 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 4,345.03 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 3,466.26 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่  711.99 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 301.66 ล้านบาท หรือ 0.144 บาทต่อหุ้น แสดงให้เห็นว่า บริษัทเติบโตแข็งแกร่งจริงๆ

ที่น่าประทับใจอีกคือ เมื่อวิเคราะห์ฐานะทางการเงินเพื่อเป็นตัวแปรในการตัดสินใจต่อการลงทุน พบว่า ฐานะทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง เพราะ บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากถึง  4,299.57 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับหนี้สินหมุนเวียนเพียง 2,763.09 ล้านบาท ได้ค่า CURRENT RATIO อยู่ที่ระดับ 1.56 เท่า แสดงว่า สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังมีมาก

ส่วนปัญหาหนี้สินของบริษัทไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะบริษัทมีหนี้สินรวมแค่ 3,740.72 ล้านบาท เมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นมากถึง 8,776.31 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 0.43 เท่า แสดงว่า บริษัทแทบไม่มีปัญหาเรื่องหนี้สินเลยก็ว่าได้

ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ยังคงแนะนำ “ซื้อ “ ประเมินราคาพื้นฐานไว้ที่ 17.00 บาท ด้วย P/E ปี 60 ที่ระดับ 25 เท่า เพื่อสะท้อนคาดการณ์อัตราการเติบโต CAGR ที่แข็งแกร่งคือ 3 ปีที่ระดับสูงเป็น 25% และคิดเป็น PEG ที่ 1 เท่า ราคาปิดยังมีส่วนเพิ่มได้อีก 30% จากราคาพื้นฐาน ด้านความเสี่ยงคือ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง รวมทั้งราคาวัตถุดิบที่ผันผวนสูง

 

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

1.บริษัท วิทูรปกรณ์ โฮลดิ้ง จำกัด 1,679,999,800 หุ้น 60.00%

2.นายภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ 92,400,100 หุ้น 3.30%

3.นายธีระวัฒน์ วิทูรปกรณ์ 63,000,100 หุ้น 2.25%

4.นายชำนาญ วิทูรปกรณ์ 58,800,000 หุ้น 2.10%

5.นายเฉลียว วิทูรปกรณ์ 54,600,000 หุ้น 1.95%

 

รายชื่อกรรมการ

1.นาย วัชรา ตันตริยานนท์ ประธานกรรมการ

2.นาย วัชรา ตันตริยานนท์ กรรมการอิสระ

3.นาย ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร

4.นาย ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ รองประธานกรรมการ

5.นาย ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

Back to top button