คัด 3 กลุ่มหุ้นน่าลงทุน ไม่หวังพึ่ง Sell in May

โดยปกติในเดือนพฤษภาคมของทุกปีนักลงทุนจะมีความหวังว่าจะเกิดปรากฏการณ์ “Sell in May”


เส้นทางนักลงทุน

โดยปกติในเดือนพฤษภาคมของทุกปีนักลงทุนจะมีความหวังว่าจะเกิดปรากฏการณ์ “Sell in May” แต่ในเดือนพฤษภาคม 2567 นี้ มีการประเมินกันว่าปรากฏการณ์ ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น และภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงต้องเผชิญกับความผันผวนอยู่

ตลอดระยะเวลา 4 เดือน (มกราคม-เมษายน 2567) ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ร่วงลงไป 47.90 จุด หรือ 3.38% จาก 1,415.85 จุด (30 ธันวาคม 2566) มาที่ 1,367.95 จุด (30 เมษายน 2567)

นักลงทุนต่างชาติยังเป็นฝ่ายขายสุทธิหนัก 65,412.55 ล้านบาท ตามด้วยพอร์ตโบรกเกอร์ขายสุทธิ 4,951.70 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 1,107.45 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ซื้อสะสมสุทธิ 76,526.27 ล้านบาท

สาเหตุที่มีการประเมินกันว่าปีนี้ “Sell in May” จะไม่เกิดขึ้น เป็นผลมาจากไม่มีปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามาเกื้อหนุน ขณะที่เครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย คือการส่งออกส่งสัญญาณไม่ดี ตัวเลขการส่งออกเดือนมีนาคมกลับมาสร้างแรงกดดัน โดยปรับลดลง 10.9% จากงวดเดียวกันปีก่อน ต่ำกว่า CONSENSUS ที่คาดว่าจะหดตัว 4%

ตัวเลขที่ต่ำกว่าคาดทำให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ออกมาปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 2567 ลงจากเดิม 2.8% มาอยู่ที่ 2.4%

นอกจากนี้ การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงยาวนานกว่าที่คาดการณ์ ทำให้นักวิเคราะห์มองโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนมิถุนายน 2567 เหลือเพียง 10% จากก่อนหน้านี้ให้น้ำหนักสูงกว่า 60% และปรับลดคาดการณ์การลดดอกเบี้ยเหลือเพียงครั้งเดียว จากเดิม 2 ครั้งในปีนี้

ดังนั้น โอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ลง 2 ครั้ง ก็น่าจะเหลือเพียง 1 ครั้ง ที่ 0.25% ซึ่งจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นและต้นทุนบจ.ต่อไป

รวมทั้งกรณีที่ทั่วโลกจับตาความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล เพราะไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติระมัดระวังมากขึ้น

ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังรอลุ้นผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่จะทยอยแจ้งออกมา ซึ่งหากกำไรบจ.สะท้อนความอ่อนแอ ก็จะส่งผลกดดันตลาดหุ้นเช่นกัน

โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ประเมินว่า SET Index ในเดือนพฤษภาคมนี้จะแกว่งตัวในกรอบ 1,340-1,400 จุด อยู่ในระดับที่เรียกว่าทรงตัว โดยมีปัจจัยการประกาศใช้มาตรการยกระดับมาตรการกำกับดูแลการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยเฉพาะการเพิ่มราคาขายชอร์ตในทุกหลักทรัพย์ต้องสูงกว่าราคาล่าสุด (Uptick rule) ในการทำชอร์ตเซล จากราคาเท่ากับหรือสูงกว่า (Zero-plus Tick) ซึ่งน่าจะมีผลบังคับใช้ได้ภายในไตรมาส 2 ปี 2567 จะเข้ามาช่วยพยุงได้ 30-50 จุด เนื่องจากมูลค่าธุรกรรมขายชอร์ตจะลดสัดส่วนเพียง 2-3% จากปัจจุบันกว่า 10%

เมื่อเป็นเช่นนี้พอร์ตลงทุนที่ดีควรเป็นอย่างไร???

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะนำว่าควรเน้นเลือกหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์, ท่องเที่ยว และหุ้นงบเด่น มองสัญญาณว่า GDP อ่อนแอในไตรมาส 1 ปี 2567 นี้ หมายความว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้ว และน่าจะทยอยปรับตัวดีขึ้นได้ในระยะต่อไป ท่ามกลางการใช้จ่ายทางด้านการคลัง และแรงกระตุ้นจากภาคการท่องเที่ยว

ถึงแม้ว่าค่าเงินบาทจะยังอ่อนในเดือนพฤษภาคม ตามปัจจัยฤดูกาลและท่าทีของเฟด แต่มองโอกาสที่จะอ่อนลงไปอีกจากระดับปัจจุบันค่อนข้างจำกัดแล้ว โดยเห็นว่าเมื่อไหร่ที่นักลงทุนต่างชาติมั่นใจมากขึ้นว่าเงินบาทต่ำสุดแล้ว จะเป็นจุดที่ทำให้กลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง ดังนั้นจึงมองว่ามีโอกาสสูงที่ SET Index จะฟื้นตัวกลับขึ้นไปที่ระดับจิตวิทยาที่ 1,400 จุด หลังจากนี้มีความเป็นไปได้สูง

โดยมองว่าหุ้น Domestic และท่องเที่ยวจะเป็นตัวนำตลาด ในขณะที่กลุ่มพลังงานอาจจะถูกกดจากราคาน้ำมันที่ตึงแล้ว และกำไรที่มีแนวโน้มจะชะลอตัวลงในไตรมาส 2 ของปี 2567 ส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ก็อาจจะถูกกดดันจากแนวโน้มผลประกอบการที่ไม่น่าตื่นเต้นในช่วงครึ่งแรกของปีนี้

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) คัดหุ้นเด่นเดือนพฤษภาคมในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากวิเคราะห์ว่าจะได้อานิสงส์จากการที่ GDP ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และดอกเบี้ยทรงตัว แนะนำ หุ้นบมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK), บมจ.ธนาคารกรุงไทย (KTB)

กลุ่มท่องเที่ยว เลือกหุ้นที่คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1 ปีนี้โดดเด่นและแข็งแกร่ง เลือกหุ้น บมจ.เอวิเอชั่น (AAV), บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) และบมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT)

ส่วนหุ้นรายตัวที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 1 เด่น เช่น บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC), บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) และ บมจ.โอสถสภา (OSP)

การลงทุนควรมองปัจจัยเกื้อหนุนไปในระยะยาวข้างหน้าแล้วเลือกหุ้นคุณภาพดีที่มีปัจจัยบวกรออยู่

Back to top button