
พาราสาวะถี
สนามเลือกตั้ง สส.ไม่ว่าจะสนามใหญ่ หรือเลือกตั้งซ่อมในพื้นที่ภาคใต้ แทบจะทุกที่ล้วนแต่เป็นการชิงชัยกันเข้มข้น ดุเดือดทุกครั้ง
สนามเลือกตั้ง สส.ไม่ว่าจะสนามใหญ่ หรือเลือกตั้งซ่อมในพื้นที่ภาคใต้ แทบจะทุกที่ล้วนแต่เป็นการชิงชัยกันเข้มข้น ดุเดือดทุกครั้ง การเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 8 นครศรีธรรมราช เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แทนที่ มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล จากค่ายภูมิใจไทยที่ถูก กกต.แจกใบแดง ขนาดว่าพรรคร่วมรัฐบาลมีเพียงกล้าธรรมพรรคเดียวที่ขอส่งคนท้าชิงเจ้าของพื้นที่เก่า ก็ยังมีพรรคอื่นขอเบียดแย่งเก้าอี้ด้วย รวมมีผู้สมัคร 6 คน ผลปรากฏว่า ก้องเกียรติ เกตุสมบัติ ภายใต้การดูแลของ ธรรมนัส พรหมเผ่า มาแรงแซงเข้าป้าย
ได้คะแนน 38,680 คะแนน ตามมาด้วย ไสว เลื่องสีนิล จากพรรคสีน้ำเงิน สามีของมุกดาวรรณ ได้ 28,417 คะแนน ขณะที่สองผู้สมัครจากพรรคการเมืองดังอย่าง ณัฐกิตต์ อยู่ด้วง สังกัดพรรคประชาชน ได้ 6,811 คะแนน และ ชินวรณ์ บุญยเกียรติ จากประชาธิปัตย์ได้ 4,190 คะแนน แน่นอนว่า การแข่งขันที่ดุเดือด ย่อมหนีไม่พ้นการถูกร้องเรียน ดังนั้น การประกาศรับรองผลการเลือกตั้งจึงต้องร้องเพลงรอต่อไป เพราะวันนี้ กกต.มีคำร้องเฉพาะเลือกตั้งหนนี้หลายกรณี โดยเฉพาะเรื่องการซื้อเสียง
ประเด็นที่น่าสนใจคือ สองพรรคที่พ่ายแพ้ทั้งประชาธิปัตย์และประชาชน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มีการซื้อเสียงอุตลุด ข้อมูลที่ต้องขีดเส้นใต้ และไม่รู้ว่ามีพยาน หลักฐานที่ส่งไปถึง กกต.มากน้อยขนาดไหน คงเป็นรายของชินวรณ์ ที่ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวขอบคุณคะแนนเสียงบริสุทธิ์ให้กับตัวเอง พร้อมเปิดเผยเป็นฉาก ๆ ว่ามีการซื้อเสียงกันโจ๋งครึ่ม ต้องไม่ลืมว่า คนที่ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1 นั้น อีกหัวโขนหนึ่งก็คือ ลูกเขยของชินวรณ์นั่นเอง
ตามข้อมูลของนักการเมืองรุ่นเก๋าจากพรรคเก่าแก่ระบุว่า 2 พรรคธุรกิจการเมือง ใช้อำนาจรัฐเป็นฐาน และเกทับกันจ่ายเป็นรายหัวจาก 1,000 บาท ในวันที่ 24 เมษายน เป็น 1,500 บาท ในวันที่ 25 เมษายน และท้ายสุดเป็น 2,000 บาท ในคืนวันที่ 26 เมษายน จนถึงวันที่ 27 เมษายน พรรคหนึ่งตั้งเป้า 4 หมื่นคะแนน ซื้อ 7 หมื่นคะแนน 70 ล้านบาท รวมค่าบริหารจัดการไม่อั้นอีก 30 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท อีกพรรคหนึ่ง ตั้งเป้า 3 หมื่นคะแนน ซื้อ 4 หมื่นคะแนน 40 ล้านบาท ค่าบริหารจัดการไม่อั้น 30 ล้านบาท เป็น 70 ล้านบาท
เมื่อมองไปยังคะแนนของสองอันดับแรก แทบจะไม่ต้องสงสัยกันว่า ข้อมูลจากผู้สมัครของประชาธิปัตย์หมายถึงใคร พร้อมทั้งมีการโจมตีการทำงานของเจ้าหน้าที่ กกต. หัวหน้าชุดสืบสวน กกต.ประจำพื้นที่ด้วย ตามสไตล์ของคนพรรคการเมืองนี้ที่ชัดว่า ผลของการกระทำที่ทุจริตเช่นนี้ ทำให้ไม่มีคะแนนเหลือให้กับฝ่ายการเมืองสุจริต ไม่เพียงแต่ปูดข้อมูล แต่ชินวรณ์ยังบอกด้วยว่า นี่คือความจริงที่ กกต.ไม่รู้ คงไม่มีอะไรที่จะโต้ตอบออกมาจากองค์กรที่จัดการเลือกตั้ง เพราะทุกวันนี้ก็ใช้วิธีการสื่อสารทางเดียวอยู่แล้ว เลือกที่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากจะบอกให้คนรู้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การเปิดประเด็นเหมือนตีแสกหน้าเช่นนี้ มันชวนให้คิดต่อไปว่า เมื่อกล้าที่จะเปิดโปงถึงขนาดนี้ ก็ควรมีพยาน หลักฐานที่นำมาแสดงให้สังคมได้รับรู้ และเชื่อมั่น ไม่ใช่การออกตัวเลี่ยงบาลีด้วยการระบุ มีหลายคนบอกมาว่า แค่นี้การจะไปร้องเรียนหรือถามหาความรับผิดชอบจาก กกต. ย่อมจะถูกตอกหน้าหงาย การจะเอาผิดใครด้วยข้อกล่าวหาร้ายแรงไม่ใช่แต่ใช้ความรู้สึก หรือฟังเขาเล่ามา เพราะในทางกฎหมายไม่สามารถที่จะดำเนินการอะไรได้
ขณะเดียวกัน การมุ่งดิสเครดิตฝ่ายตรงข้ามด้วยการดูถูกคนพื้นที่นั้น ก็ทำให้สะท้อนเห็นถึงกระบวนการทางความคิด และการขับเคลื่อนทางการเมืองของพรรคที่อยู่ในภาวะขาลงเป็นอย่างยิ่ง เพราะในช่วงเฟื่องฟูที่พรรคเก่าแก่ส่งเสาไฟฟ้าลงแข่งก็ยังได้รับเลือก จอมหลักการของพรรคยืนยัน การันตีมาตลอดคนใต้ไม่เห็นแก่เงิน ต่อให้มีการซื้อเสียงก็ไม่ชนะเลือกตั้ง แต่ทำไมปัจจุบันคนของพรรคไม่ว่าระดับใด จึงได้ใช้การโจมตีคู่แข่ง โดยยัดเยียดให้คนที่ตัวเองเคยยกย่อง เยินยอ กลายเป็นพวกเห็นแก่ได้ไปเสียอย่างนั้น
จริงอยู่ว่าเลือกตั้งแค่เขตเดียวไม่สามารถชี้วัดความนิยมอะไรได้ แต่คะแนนที่ออกมาของผู้สมัครจากพรรคเก่าแก่ มิหนำซ้ำ ยังเคยเป็นอดีต สส.หลายสมัย มันชวนให้คิดไม่น้อย หรือนี่จะเป็นการตอกย้ำว่าประชาธิปัตย์ไม่มีวันจะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ได้อีกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงพรรคประชาชนเรื่องกระแสอาจใช้ได้แค่บางพื้นที่ บางจังหวัด ไม่ว่าจะอย่างไร ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นโจทย์ให้แต่ละพรรคต้องไปขบคิดมีปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลต่อการตัดสินใจของประชาชน
พรรคสีน้ำเงินที่ตั้งธงจะขยายฐาน สส.ในพื้นที่ด้ามขวานให้มากกว่าเดิม นอกเหนือจากคู่แข่งหน้าเดิมที่เคยต่อกรกันมาในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว หนนี้ถือว่ามีพรรคการเมืองใหม่มาท้าทาย และทำท่าว่าจะใจถึงพึ่งได้เสียด้วย ยังไม่นับรวมพรรคตั้งใหม่ที่ว่ากันว่าจะเป็นพรรคตัวแทนของเพื่อไทยเพื่อปักธง สส.ในภาคใต้ ทำให้การเลือกตั้งครั้งหน้าถูกจ้องกันตาไม่กะพริบทีเดียว มากไปกว่านั้น ให้จับตาดูช่วงปลายก่อนจะครบวาระ อาจจะได้เห็นการย้ายพรรค เปลี่ยนสีเสื้อกันล็อตใหญ่
เอาเฉพาะผลการเลือกตั้งครั้งนี้ บวกกับข่าวที่ธรรมนัสให้สัมภาษณ์ก่อนหน้าจะมี สส.พรรคฝ่ายค้านย้ายมาร่วมชายคากล้าธรรมอีกชุดหนึ่ง นั่นย่อมทำให้เสียงสนับสนุนรัฐบาลเพิ่มขึ้น จึงถูกเพ่งเล็งว่าจะเป็นเหตุให้มีการขอโควตารัฐมนตรีเพิ่มขึ้นหรือไม่ และจะนำไปสู่การปรับ ครม.เร็วกว่าที่คาด หรือส่งผลให้ แพทองธาร ชินวัตร ต้องทบทวนท่าทีแม้จะยืนยันว่าไม่ปรับไปแล้วก็ตาม เนื่องจากยังมีวลีปริศนา ใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง
คำถามที่สำคัญคือ ถ้าจะต้องปรับจะเป็นการปรับในส่วนของกระทรวงที่หวังผลทางการเมือง หรือเสนาบดีที่ดูแลเรื่องเศรษฐกิจ เมื่อยึดเป้าหมายที่ต้องการกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ อย่างหลังต้องเขย่าก่อน เพื่อเร่งสร้างผลงานให้เป็นที่ปรากฏ จากนั้นค่อยตามมาด้วยการเปลี่ยนตัวคนคุมกระทรวงที่จะเกี่ยวข้องกับความได้เปรียบในการกุมอำนาจรัฐระหว่างการเลือกตั้ง เรื่องยึดมหาดไทยคืนไม่ใช่แค่ข่าวโคมลอย ทุกอย่างล้วนมีมูล เพื่อวัดปฏิกิริยาจากฝ่ายตรงข้าม อยู่ที่ว่าวันนี้จากที่เคยกร่างด้วยเชื่อมั่นในพลังต่อรอง มองเห็นหรือไม่ว่า อีกฝ่ายก็พร้อมที่จะแตกหักเพราะจุดที่ยืนวันนี้ยังไงก็ดีกว่าการเลือกครั้งคราวที่แล้ว
อรชุน