พาราสาวะถี

ติดตามการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ท่วงทำนองการอภิปราย การตั้งข้อสังเกต หรือจับผิดของพรรคฝ่ายค้าน ยังคงเป็นไปในลักษณะที่ไม่ได้มีอะไรหวือหวา


ติดตามการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ท่วงทำนองการอภิปราย การตั้งข้อสังเกต หรือจับผิดของพรรคฝ่ายค้าน ยังคงเป็นไปในลักษณะที่ไม่ได้มีอะไรหวือหวา ที่ชูสโลแกน “ช่วยรัฐบาลหางบ” ยังมองไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรม ความน่าสนใจคงอยู่ที่การชี้แจงของ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต่อประเด็นที่ว่าทำไมรัฐบาลจึงยังคงดำเนินการตั้งงบประจำปีที่ปีนี้วงเงิน 3,780,600 ล้านบาท ในลักษณะงบขาดดุล

ขุนคลังชี้ว่า ประเทศไทยยังอยู่ในเขตเอเชีย ยังเป็นเด็กที่ยังไม่โต อยู่ในกลุ่ม growth country หรือประเทศที่กำลังเติบโต เพราะฉะนั้นต้องสร้างแบบขาดดุลสักพักหนึ่ง เพราะอีกปัญหาหนึ่งคือต้องเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตของประเทศใหม่ การขาดดุลยังจำเป็นอยู่ แต่เมื่อขาดดุลรัฐบาลได้คำนึงถึงหนี้ต่อจีดีพีอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป ในเรื่องของเป้าหมายจีดีพี แต่มั่นใจว่ายังสามารถเก็บรายได้ในปี 2568 ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และเชื่อว่าเงินขาดดุลคงคลังคงไม่มากไปกว่าเดิม

นอกจากนั้นยังมีการอธิบายด้วยว่า งบประมาณที่จัดปีนี้ มั่นใจว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่เริ่มรู้แล้วว่าสถานการณ์โลกเปลี่ยนไป แต่ไม่ได้เปลี่ยนในระยะเวลาอันสั้น คงต้องปรับเปลี่ยนใหม่ให้โครงสร้างเศรษฐกิจพึ่งพาในประเทศมากขึ้น และจะต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ด้าน เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยคลัง ยอมรับว่าประเทศไทยกำลังเจอความท้าทายทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอน ซึ่งการขาดดุลงบประมาณเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พร้อมกับปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าเป็นการขาดดุลมากขึ้นเรื่อย ๆ

มีการยกเอาตัวเลขงบประมาณปี 2568 มาเปรียบเทียบที่มีการขาดดุลอยู่ที่ 4.5% ของตัวงบประมาณ ขณะที่ในปี 2569 มีสัดส่วนของการขาดดุลลดลงเหลือ 4.3% และยืนยันว่าสัดส่วนจะลดลงอีกใน 1-2 ปีข้างหน้า เป็นการตอกย้ำว่า “รัฐบาลบริหารงบประมาณด้วยความรับผิดชอบ” อย่างไรก็ตามจากการชี้แจงของเผ่าภูมินั้น มีประเด็นที่เกี่ยวกับงบประจำที่คนจำนวนมากตั้งข้อสงสัยว่าเป็นตัวฉุดรั้งทำให้การบริหารประเทศไม่มีเม็ดเงินที่จะนำไปใช้ในภาคการลงทุนได้มากนัก

เผ่าภูมิยอมรับความจริงตามที่ผู้นำฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลสามารถใช้งบประมาณจริงได้เพียง 1 ใน 4 เท่านั้น แต่อยากให้กลับไปดูที่ตัวเลขในร่างพ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ จะเห็นได้ว่ามีการปรับลดงบประจำ 1.05% ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง และหากดูจากสถิติที่ผ่านมาจะพบว่างบประจำในปีนี้อยู่ที่ 70.16% ต่ำสุดในรอบ 18 ปี ของการจัดทำงบประมาณมา นั่นแสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลที่จะ “ลดงบประจำ” เพื่อ “เปิดช่องว่างสำหรับการลงทุน”

กระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณ ท่าทีของฝ่ายค้าน หรือซีกรัฐบาลด้วยกันเอง ไม่ว่าใครจะแสดงความเห็นกันอย่างไร โต้เถียงกันธรรมดาหรือดุเดือดขนาดไหน สุดท้ายก็ต้องไปจบกันในขั้นตอนของคณะกรรมาธิการวิสามัญที่จะตั้งกันขึ้นมาหรือผ่านวาระแรกไปแล้ว ตรงนั้นจะเป็นจุดชี้วัดที่แท้จริง ฝ่ายค้านจะช่วยรัฐบาลหางบประมาณเพิ่มได้จริงหรือไม่ แต่เชื่อได้เลยว่า ท้ายที่สุดทุกอย่างก็จะลงตัว มีการขอปรับลดเพื่อโชว์ผลงานกันพอหอมปากหอมคอ นี่คือความจริงทุกยุคทุกสมัยที่อาจเรียกได้ว่าเป็นธรรมเนียมปกติธรรมดาในการพิจารณางบประมาณของบ้านเมืองก็ว่าได้

เรื่องนี้ไม่รู้จะเข้าทาง แพทองธาร ชินวัตร พร้อมคณะเจรจาการขึ้นภาษีมหาโหดของ โดนัลด์ ทรัมป์ หรือไม่ หลังจากที่ก่อนหน้านั้นถูกค่อนขอดว่าสหรัฐอเมริกาขอเลื่อนวันนัดหารือ หรือไทยไม่พร้อมขอเลื่อนเอง หลังจากวันพุธที่ผ่านมาศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ที่นครนิวยอร์ก มีคำตัดสินให้ระงับการบังคับใช้ภาษีนำเข้าที่ทรัมป์ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา โดยชี้ว่าเป็นการกระทำเกินขอบเขตอำนาจของประธานาธิบดี ภายใต้พระราชบัญญัติอำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ ซึ่งไม่ได้ให้อำนาจผู้นำประเทศในการกำหนดอัตราภาษีศุลกากรโดยลำพัง

จากคำพิพากษาระบุว่า สภาคองเกรสเท่านั้นมีอำนาจปรับเปลี่ยน ควบคุม และกำหนดกฎเกณฑ์ด้านการพาณิชย์กับนานาประเทศ การอ้างอำนาจตามกฎหมายอำนาจฉุกเฉินทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ หรือไออีอีพีเอ ปี 2520 เป็นการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตของประธานาธิบดี โดยศาลการค้าระหว่างประเทศสั่งให้รัฐบาลทรัมป์ต้องดำเนินการภายใน 10 วัน นับตั้งแต่วันที่ศาลประกาศคำพิพากษา เพื่อให้มีการระงับใช้มาตรการภาษีเหล่านี้

แต่คงไม่ได้ยุติในเร็ววันแน่ เพราะทันทีที่ศาลมีคำพิพากษา ทำเนียบขาวได้ออกแถลงการณ์ทันควันประณามว่า การที่ฝ่ายตุลาการแทรกแซงอำนาจการบริหารของประธานาธิบดี ซึ่งยึดมั่นในการรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เป็นอันดับแรก และการดำเนินการทั้งหมดเป็นการใช้อำนาจภายในขอบเขตของฝ่ายบริหาร เพื่อจัดการกับภาวะวิกฤตทางการค้า เพื่อฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของอเมริกา นั่นย่อมเป็นสัญญาณว่าเรื่องนี้จะต้องไปจบกันที่ศาลฎีกา ในกรุงวอชิงตัน แต่โดยภาพรวมจะทำให้ทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบหายใจหายคอให้คล่องขึ้น

ในส่วนของประเทศไทย แพทองธารย้ำว่าปล่อยให้เป็นกระบวนการของสหรัฐฯ เพราะเป็นเรื่องภายใน แต่สำหรับประเทศไทย ต้องดำเนินการในส่วนที่ได้เตรียมการไว้ จะหยุดชะงักไม่ได้ ยืนยันว่าที่ได้ดำเนินการมาไม่ได้ล่าช้า อยู่ในขั้นตอนของการรอวันนัดหมาย ทีมงานยังพูดคุยอัพเดตข้อมูลกันอยู่ตลอด และเป็นสัญญาณบวกมาต่อเนื่อง ไม่มีเรื่องลบที่จะถึงขั้นไม่พูดคุยกัน ก่อนที่นายกฯ หญิงจะตัดจบด้วยเรื่องของตัวเองที่ปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้แบบนิ่ม ๆ เรื่องการระงับวีซ่าเข้าสหรัฐฯ สรุปแล้วไม่ได้มีอะไรเข้าใจกันได้

ไม่รู้ว่านายกฯ เข้าใจเพียงคนเดียว หรือต้องการสื่อให้เห็นว่าข่าวที่ออกมาเข้าใจได้ว่าต้องการให้เกิดผลแบบไหน คงหนีไม่พ้นขบวนการปั่นกระแสเหมือนที่ ทักษิณ ชินวัตร ย้ำกับนักข่าวหลังปรากฏตัวเป็นข่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ถึงนาทีนี้แม้จะเป็นความจริงที่ว่าสองพรรคแกนนำรัฐบาลสำคัญเพื่อไทย-ภูมิใจไทย จะระหองระแหง ดูท่าว่าจะหนักหน่วงขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังไม่รุนแรงถึงขนาดที่แตกหัก ยังคงจับมือเดินด้วยกันในลักษณะของทั้งรักทั้งเกลียดแบบนี้ต่อไป

อรชุน

Back to top button