
มา (ม่า) ไว (ไว).! การตลาดข้ามแบรนด์
ฮือฮาภาษาคนกินเส้น..!! ที่เห็นคู่แข่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองแบรนด์ใหญ่ แบรนด์มาม่า และแบรนด์ไวไว มาร่วมโซ้ยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในชามเดียวกัน...
ฮือฮาภาษาคนกินเส้น..!! ที่เห็นคู่แข่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองแบรนด์ใหญ่ แบรนด์มาม่า โดยบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFMAMA และแบรนด์ไวไว โดยบริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด มาร่วมโซ้ยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในชามเดียวกัน…
โดยเพจเฟซบุ๊ก Mamalover ได้เปลี่ยนโปรไฟล์เป็นโลโก้ “ไวไว” พร้อมเขียนแคปชั่นระบุว่า “บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไวไว เหนียวนุ่ม…ไม่อืด” และติดแฮชแท็ก #แวะกินยี่ห้ออื่นบ้านนะงับ กลายเป็นไวรัลในสื่อโซเชียลมีเดีย…
ซึ่งในเวลาต่อมาเฟซบุ๊ก WaiWai ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “น้องไวไว ขอบคุณน้องมาม่ามากนะงับ😍✨ Mamalover”
แหม๊…คิดว่ามาม่าจะควบรวมกับไวไวกลายเป็น “มาไว” ไปซะแล้ว..!?
แต่ที่ไหนได้เป็นแค่การกระตุ้นตลาดและส่งเสริมการขายของกันและกันเท่านั้น…
ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้…ที่เห็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเบอร์หนึ่งกับเบอร์สามมาจับมือกัน ซึ่งปกติต่างคนต่างเดิน สร้างจุดขายที่แตกต่างกัน แต่ครั้งนี้มาเกี่ยวก้อยจับมือกันเดินซะงั้น..ภาษาทางการตลาดเรียกว่า Collaboration Marketing หรือการตลาดแบบร่วมมือกัน คือการที่แบรนด์จับมือร่วมกันผลิตสินค้าหรือแคมเปญเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจร่วมกัน
แต่ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ถ้าสังเกตจะเห็นว่าในช่วง 2-3 ปีมานี้ เทรนด์ด้านการ Collaboration หรือ X-Strategy ถูกนำมาใช้มากขึ้น อาทิ Lay’s x KFC กลายเป็นขนมขบเคี้ยวรสชาติไก่ KFC ด้าน Hygiene x Mister Donut เป็นน้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นขนมหวาน Mister Donut และมีขนมโดนัทแบบ Limited Edition จาก Hygiene ขณะที่ Burger King x KFC เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ BFF Burger รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นของตัวเอง เป็นต้น
กลับมาที่การผนึกกำลังกันของมาม่ากับไวไวครั้งนี้ บ่งชี้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและกำลังซื้อที่หดตัวรุนแรง สะท้อนได้จากยอดขายของแบรนด์มาม่าในช่วง 5 เดือนนี้ เติบโตแค่ 1-2% ต่ำจากเป้าหมายที่คาดว่าจะเติบโต 5-7% เนื่องจากพฤติกรรมคนซื้อเปลี่ยนไป ซื้อน้อยลง ไม่ซื้อตุน ซื้อเท่าที่มีเงิน…
จึงไม่น่าแปลกใจที่เห็นกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2568 ของ TFMAMA เหลือแค่ 981.49 ล้านบาท ลดลง 14.24% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567 ที่มีกำไรสุทธิ 1,144.43 ล้านบาท
ขณะที่ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไทย แม้ไม่ได้โตแรง แต่เติบโตต่อเนื่อง โดยปี 2563 มูลค่าตลาด 17,241 ล้านบาท ปี 2564 มูลค่ารวมอยู่ที่ 16,637 ล้านบาท ปี 2565 มีมูลค่า 17,106 ล้านบาท ปี 2566 มูลค่า 21,045 ล้านบาท และปี 2567 มูลค่า 22,778 ล้านบาท ส่วนในปี 2568 คาดจะเติบโตในอัตราชะลอที่ 4-5%
ด้วยกลิ่นที่หอมหวนเย้ายวนใจ เลยดึงดูดให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลากหลายสัญชาติเข้ามาขอแบ่งเค้กก้อนนี้ โดยเฉพาะจากกระแสความนิยมซีรีส์เกาหลีที่นำพาให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสัญชาติเกาหลี หรือที่รู้จักในชื่อรามยอน เข้ามาตีท้ายครัวบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไทย นำทัพโดยแบรนด์นงชิม (NONGSHIM) ที่ส่ง SHIN Ramyun ซองแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของรามยอนต้นตำรับที่ครองใจผู้บริโภคทั่วโลก รวมทั้งคนไทย
ซึ่งแม้ NONGSHIM จะเน้นเจาะตลาดพรีเมียม ราคาขายซองละ 30 กว่าบาทไปจนถึง 50 กว่าบาท แต่แชร์ส่วนแบ่งการตลาดไปได้ไม่น้อย จากคนที่ชื่นชอบความแปลกใหม่…
เจ้าบ้านในฐานะเบอร์หนึ่ง (มาม่า) และเบอร์สาม (ไวไว) จึงอยู่เฉยไม่ได้ ต้องผนึกกำลังกันสู้ทั้งศึกนอก (คู่แข่งแบรนด์ต่างชาติ) และศึกใน (กำลังซื้อที่หดตัว)..!!
ก็ไม่รู้ว่าการจับมือกันครั้งนี้ จะช่วยกระตุ้นยอดขายทั้งสองแบรนด์ได้มากน้อยแค่ไหน..?? แต่ที่แน่ ๆ ช่วยสร้างการจดจำ โกยยอดไลก์ ได้เอ็นเกจเมนต์จากโลกออนไลน์ไปท่วมท้นเลยทีเดียว…
และเป็นอีกครั้งที่ตอกย้ำว่า การทำธุรกิจไม่ใช่แค่ตัวคนเดียว แต่ในบางจังหวะต้องหันมาจับมือกันเพื่อความอยู่รอด…
…เข้าทำนอง รวมกันเราอยู่ แยกกันตายทั้งคู่..!!
…อิ อิ อิ…