พาราสาวะถี

จากที่วางกำหนดการกันไว้ว่าการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา


จากที่วางกำหนดการกันไว้ว่าการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา จะจบกันลงภายใน 1 วัน แต่ปรากฏว่าต้องยืดเวลามาถกต่อกันถึงวันอาทิตย์ ไม่มีอะไรซับซ้อนการดึงเชิงของฝ่ายเขมรเป็นละครฉากหนึ่งเพื่อให้การนำเอา 4 พื้นที่ขัดแย้งยื่นศาลโลกมีน้ำหนัก ขณะที่ ฬำ เจีย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการชายแดนของกัมพูชาและหัวหน้าผู้แทนการประชุมฝั่งกัมพูชา ก็เล่นบทลูบหลัง อ้างว่า การประชุมครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่ไม่บอกว่าถึงสาเหตุที่ทำให้การประชุมต้องขยายเวลาเพิ่มอีก 1 วัน 

คงไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ท่วงทำนองของอีกฝั่งจะออกมาในโทนทางนี้อยู่แล้ว ขณะที่คณะผู้แทนของไทย ที่มี ประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ เป็นหัวหน้าคณะ ได้ย้ำจุดยืนของไทย 3 ประการ คือ ฝ่ายไทยได้ดำเนินการเพื่อลดความตึงเครียดในพื้นที่ในระดับหนึ่ง ดังนั้น ขอให้ที่ประชุม JBC ขยายผลเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ และให้พื้นที่ชายแดนมีความสงบสุขอย่างยั่งยืน โดยกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ได้แก่ JBC คณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค หรือ RBC เป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการแก้ปัญหา

การเจรจาจะต้องทำให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในเรื่องของเส้นเขตแดน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจที่ชัดเจนร่วมกัน ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน และความสำคัญที่สุดคือ ฝ่ายไทยจะต้องยืนหยัดที่จะปกป้องอธิปไตยของไทย และไม่ยอมให้ไทยเสียดินแดนโดยเด็ดขาด แน่นอนว่า ท่าทีของฝ่ายกัมพูชานั้นก็เป็นไปในทำนองเอาล่อเอาเถิดมาโดยตลอด ซึ่งจะเห็นได้ว่าขณะที่มีการเจรจา กลับพบว่าได้มีการปรับกำลังทางทหารในลักษณะยั่วยุ ท้าทาย เพื่อหาเหตุให้เกิดความขัดแย้งให้ได้

กรณีนี้ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้แถลงว่า ทหารกัมพูชาหันกระบอกปืนใหญ่เข้ามายังฝั่งไทย บริเวณพื้นที่ปราสาทโดนตรวน และสัตตะโสม บ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยเจ้าหน้าที่ทหารไทยพบการวางกำลังของกัมพูชาหลายจุดในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอาวุธยิงสนับสนุน ที่มีระยะยิงถึงพื้นที่ในอธิปไตยของไทย ถือเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคง ฝ่ายไทยจึงได้มีการปรับการวางกำลังและเตรียมกำลังให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์เช่นกัน

จะว่าไปแล้ว เรื่องการปกป้องอธิปไตยนั้นไม่ต้องห่วงทางฝ่ายกองทัพที่มีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา เห็นได้จากการแสดงออกของ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ที่ไปบรรยายพิเศษให้นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ ชั้นปีที่ 5 เรื่อง 3 ปราสาทและช่องบกช่วงหนึ่งว่า จะไม่มีวันขึ้นศาลโลก เพราะการจะขึ้นศาลโลก ต้องเห็นพ้องด้วยกันทั้งสองฝ่าย ศาลโลกจึงจะรับไว้พิจารณา แต่ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมรับศาลโลก ก็ไม่รับพิจารณา และรัฐบาลไทยจะใช้วิธีนี้

ตามมาด้วยท่วงทำนองที่ดุเดือดว่า ไม่ต้องห่วงจะต้องขึ้นศาลโลก “พี่บอกรัฐบาลไปแล้วว่าไม่ต้องขึ้นศาล ศาลโลกไม่เกี่ยว แผ่นดินกู อยู่ตรงนี้มานานแล้ว ถ้าจะเอาก็ดวลกัน ก็จบ ไม่เห็นจะยากอะไร ถ้าคำพูดนี้ไปถึง ฮุน เซน ก็สวนมาอีก” นั่นย่อมสะท้อนให้เห็นว่าทั้งฝ่ายกองทัพและรัฐบาล เข้าใจดีว่าการที่ฝ่ายเขมรขับเคลื่อนประเด็นชายแดนเพื่อให้เป็นปัญหานั้น แท้ที่จริงแล้วเกิดจากปมความขัดแย้งหรือเป็นปัญหาการเมืองภายในกันแน่

จากความเข้าใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี่เอง ทำให้ แพทองธาร ชินวัตร ยืนยันแนวทางที่รัฐบาลดำเนินการว่า มาตรการเพื่อรักษาอธิปไตย และผลประโยชน์ของประเทศไทยและประชาชนชาวไทย ได้มีการเตรียมการอย่างรัดกุม รอบด้าน พร้อมดำเนินการทันที แต่ยังคงเจตจำนงที่จะเริ่มต้นในกรอบ JBC และขอรักษาบรรยากาศเพื่อนำไปสู่การเจรจา หลังจากนั้นจะประเมินผลจากการเจรจารอบแรก เพื่อกำหนดแนวทางดำเนินการต่อไป รอดูว่าบทสรุปจากที่ประชุม JBC จะเป็นอย่างไร

ปัญหาใหญ่สำหรับนายกฯ หญิงเวลานี้คงเป็นปมการเมืองภายในพรรคร่วมรัฐบาลมากกว่า การทวงคืนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่เป็นโควตาของพรรคภูมิใจไทยนั้น ทำท่าว่าจะเจรจากันได้ยาก เพราะนอกจาก อนุทิน ชาญวีรกูล จะปิดดีลกับ 6 เสียง สส.พลังประชารัฐในสังกัดของ สันติ พร้อมพัฒน์ ได้เรียบร้อยแล้ว ยังได้ 2 เสียงจาก สส.อุดรธานีของพรรคไทยสร้างไทยมาเข้าคอกเพิ่มอีกต่างหาก นั่นเท่ากับว่า จากที่มี 69 เสียง พรรคสีน้ำเงินจะมีเสียง สส.อยู่ในมือขยับขึ้นไปเป็น 77 เสียงในทันที

เมื่อเกิดการต่อรองโดยยึดโยงเอาเก้าอี้ สส.มาเป็นตัวชี้วัดโควตารัฐมนตรี พรรคนายใหญ่ต้องคิดหนัก ซึ่งจะเห็นได้ว่า พรรคแกนนำรัฐบาลได้เดินเกมกดดันโดยให้ทั้ง สส.และอดีต สส.ระดับกระบอกเสียงของพรรค ออกมาให้ข่าวในทำนองขับไล่ผลักไสให้ไปเป็นฝ่ายค้าน นั่นเป็นเพราะโจทย์ของฝั่งเพื่อไทยภายใต้การชี้ทางของ ทักษิณ ชินวัตร มองเห็นว่า ยังไงเสียภูมิใจไทยก็ไม่พร้อมที่จะไปเป็นฝ่ายค้าน เพราะการได้จำนวน สส.เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งสองครั้งที่ผ่านมานั้น เกิดจากการใช้กลไกของอำนาจรัฐ สร้างประโยชน์ให้กับพรรคของตัวเองทั้งสิ้น

ดังนั้น หากจะต้องหลุดไปเป็นฝ่ายค้านโดยที่เหลือระยะเวลาไม่ถึง 2 ปีก็จะมีการเลือกตั้งใหม่ อาจารย์ใหญ่ของพรรคและแกนนำคงไม่ยอมที่จะให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น จึงจำเป็นต้องยอมกลืนเลือด กว่าจะยอมรับข้อเสนอ ก็ต้องเต็มไปด้วยเงื่อนไข และการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ ซึ่งจนถึงขณะนี้การเจรจาได้ล่วงหน้าไปกว่าข่าวที่ปรากฏตามหน้าสื่อไปแล้ว จะเหลือเพียงก็แต่รวมไทยสร้างชาติ หลังจาก สุชาติ ชมกลิ่น ประกาศตั้งกลุ่ม 18 เรียบร้อย เป็นผลให้เสียง สส.ของพรรคถูกแบ่งครึ่งถือหางคนละฝั่ง ซีกของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ย่อมอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

พรรคของอดีตผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจอยู่ในสถานะน่าเป็นห่วงมากกว่าใครเพื่อนในบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล โอกาสในการร่วมรัฐบาลเหมือนต้องลุ้นออกหัวออกก้อย แต่ภายใต้ความไม่แน่นอนจากแรงเสียดทานรอบด้าน มันเป็นเหมือนภาคบังคับที่ไม่ว่านายใหญ่จะรุกคืบเร่งปิดเกมยังไง ท้ายที่สุด พรรคร่วมรัฐบาลพลิกขั้วต้องเดินด้วยกันต่อไป แม้จะเป็นไปในลักษณะจับมือแล้วถือมีดไว้ข้างหลังกันก็ตาม

อรชุน

Back to top button