
NETA วิกฤติ..ตลาด EV ถดถอย.!?
ช่วง 4 เดือนแรกปี 2568 (ม.ค.-เม.ย.) ยอดขายรถยนต์โดยรวมอยู่ที่ 200,386 คัน ลดลงประมาณ 4.80% เมื่อเทียบช่วง 4 เดือนแรกปี 2567
ช่วง 4 เดือนแรกปี 2568 (ม.ค.-เม.ย.) ยอดขายรถยนต์โดยรวมอยู่ที่ 200,386 คัน ลดลงประมาณ 4.80% เมื่อเทียบช่วง 4 เดือนแรกปี 2567 โดยยอดขายรวมรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ 33,633 คัน เพิ่มขึ้น 46.03%
แต่ดูเหมือนสถานการณ์รถยนต์ไฟฟ้า นับจากนี้เริ่มไม่ค่อยสู้ดีนัก..บางรายเริ่มเข้าสู่วิกฤติ..!!
หนึ่งในนั้นคือแบรนด์ NETA รถยนต์ไฟฟ้าใหม่สัญชาติจีน ภายใต้บริษัทแม่ชื่อ Hozon New Energy สถานการณ์ล่าสุดเริ่ม “เข้าสู่จุดต่ำสุดครั้งใหญ่” หลังจากผู้บริหารยอมรับกับบรรดาซัพพลายเออร์ว่า “ตอนนี้เราไม่มีเงิน” จนทำให้โรงงาน ทั้ง 3 แห่งในประเทศจีน ต้องหยุดสาย การผลิต พนักงานหลายส่วนรวมถึงฝ่ายบริหารยังไม่ได้รับเงินเดือน..!!
ทำให้บริษัทต้องพึ่งมาตรการ “แปลงหนี้เป็นหุ้น” เพื่อหวังลดภาระหนี้และดึงนักลงทุนใหม่ เข้ามาช่วยกอบกู้สถานการณ์บริษัท..ด้วยการเสนอให้บรรดาซัพพลายเออร์ยินยอมแปลงหนี้ 70% ของยอดหนี้ทั้งหมดเป็นหุ้นในบริษัทแม่ ส่วนที่เหลืออีก 30% จะชำระเป็นเงินสดแบบไม่มีดอกเบี้ยในระยะยาว
ซัพพลายเออร์หลายรายจำใจต้องตอบรับทางเลือกดังกล่าว เพราะหาก “ไม่ยอมแลกหุ้น” จะไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ จากสัญญาณผู้บริหาร NETA ประกาศว่า “หาก NETA ล้มละลาย..ทุกฝ่ายจะไม่ได้อะไรเลย” นั่นจึงเป็นที่มาของข้อเสนอให้ร่วมมือฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน
จากข้อมูลพบว่าโรงงานในประเทศจีนทั้ง 3 แห่งของ NETA มีการหยุดผลิตมาหลายเดือนแล้ว ขณะที่ธุรกิจต่างประเทศยังดำเนินอยู่ แต่เริ่มประสบปัญหาจากการขาดแคลนเงินทุนและปัญหาด้านซัพพลายเชน ส่วนพนักงานรวมถึงระดับผู้บริหารไม่ได้รับเงินเดือนอย่างเต็มจำนวน โดยเฉพาะฝ่ายวิจัยและพัฒนา (R&D) ได้รับเงินเดือนเพียงครึ่งเดียว ทำให้หลายรายอยู่ในขั้นตอนการยื่นลาออกจากบริษัท..
ตอกย้ำความวิกฤติด้วยเสียงสะท้อนจากพนักงาน ระบุว่า “เดือนต่อไปไม่รู้ว่าจะได้รับเงินเท่าไหร่ อาจเป็นค่าแรงขั้นต่ำของเซี่ยงไฮ้ที่เดือน 2,690 หยวน (ประมาณ 13,400 บาท) หรืออาจไม่ได้เงินเลยก็ได้”
บริษัทเริ่มลดจำนวนพนักงานลงนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 67 ที่ผ่านมา ทั้ง “แบบสมัครใจและเลิกจ้าง” ถือเป็นส่วนหนึ่งของการลดต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่าย
แหละนี่ “เป็นการลดพนักงานเพื่อประคองการดำเนินธุรกิจขั้นพื้นฐานให้เดินต่อไปได้”
จากข้อมูลทางการเงิน ระบุว่าระหว่างปี 2021–2023 มีรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 63.2% แต่กลับมีผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่อง เริ่มจากปี 2564 ขาดทุน 4,840 ล้านหยวน (ประมาณ 24,200 ล้านบาท) ปี 2565 ขาดทุน 6,666 ล้านหยวน (ประมาณ 33,330 ล้านบาท) ปี 2566 ขาดทุน 6,867 ล้านหยวน (ประมาณ 34,335 ล้านบาท)
ทำให้ 3 ปี มีผลขาดทุนสะสมมากถึง 18,000 ล้านหยวน (ประมาณ 85,500 ล้านบาท)
ขณะที่บริษัท เนต้า ออโต้ (ประเทศไทย) จำกัด มีการเข้าร่วมโครงการ EV 3.0 และ EV 3.5 ของรัฐบาล ภายใต้กรมสรรพสามิต (กระทรวงการคลัง) และจากข้อมูลสิ้นสุด 30 เม.ย. 68 ค่าย NETA มีรถจดทะเบียนในไทย นำเข้าจากประเทศจีน จำนวนรวม 19,387 คัน ( NETA V จำนวน 17,460 คัน และ NETA X จำนวน 1,927 คัน)
นั่นหมายถึง NETA ประเทศไทย ต้องผลิตชดเชยคืนอย่างน้อย 21,440 คัน (จากเงื่อนไขเงินสนับสนุนจากรัฐ EV 3.0 อัตรา 150,000 บาทต่อคัน และ EV 3.5 อัตรา 100,000 บาทต่อคัน รวมเป็นกว่า 2,663 ล้านบาท)
นี่คือวิกฤติใหญ่ NETA ที่บ่งชี้ถึง Mass Market ของ EV กำลังถดถอยอย่างชัดเจน..!!