
พาราสาวะถี
ความจริงปม แพทองธาร ชินวัตร นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ไม่ได้มีปัญหาอะไรที่ต้องคิดให้ซับซ้อน เว้นเสียแต่พวกที่ต้องการจะหาเรื่อง
ความจริงปม แพทองธาร ชินวัตร นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ไม่ได้มีปัญหาอะไรที่ต้องคิดให้ซับซ้อน เว้นเสียแต่พวกที่ต้องการจะหาเรื่อง เนื่องจากกรณีศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง แล้วสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น ศาลวินิจฉัยให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ตามคำร้องของประธานวุฒิสภา ที่ 36 ส.ว.ยื่นเข้าชื่อกันยื่นให้ดำเนินการ ไม่ได้มีข้อกล่าวหาหรือข้อร้องเรียนให้ดำเนินการในส่วนอื่น ศาลก็ไม่ได้วินิจฉัยมากไปกว่านั้น และทำไม่ได้อยู่แล้วตามข้อกฎหมาย ภาษานักกฎหมายคือ ที่เย้วๆกันนั้นเป็นเรื่องฟ้องนอกกฎหมาย
ลำพังนิติสงครามที่งัดมาใช้กันก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่แล้วว่า เป็นกลไกที่ไม่ปกติเพื่อจัดการกับปฏิปักษ์ทางการเมือง ที่ผ่านมาเห็นกันอยู่ว่า หลายเรื่องสังคมเกิดข้อกังขา สุดท้ายไม่ได้ทำให้บ้านเมืองพัฒนา หรือก้าวไปข้างหน้าได้ บรรดาพวกที่ออกมาเรียกร้องก็เห็นกันอยู่ ยังไงก็หาประเด็นที่จะกล่าวหา โจมตีอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลจะต้องเด็ดเดี่ยว และเดินไปตามแนวทางที่ได้กำหนดกันไว้
ในฐานะที่เคยผ่านการยุบพรรคมาแล้วสองหน และคนในเครือข่ายระบอบทักษิณก็ถูกกลไกนิติสงครามจัดการกันเป็นว่าเล่นอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องไปกังวล จนทำให้การทำงานในฐานะรัฐบาลผสมไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้ ต้องไปดูกันว่ารัฐนาวาหลังจากปรับครม.กันแล้ว จะไปต่อกันในทิศทางไหนมากกว่า เรื่องนี้ ภูมิธรรม เวชยชัย ที่จะต้องมารับหน้าที่รักษาราชการแทนนายกฯ หลังเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ฯแล้ว ได้ชี้แจงชัดเจนต่อที่ประชุมส.ส.เพื่อไทยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา
สารที่สื่อไปยังส.ส.ของพรรคแกนนำรัฐบาลก็คือ เรื่องชะตากรรมของแพทองธารแค่ทำคำชี้แจงไปแล้วรอดูผลอีกครั้ง บวกหรือลบ รอดหรือร่วงค่อยไปว่ากัน สิ่งสำคัญคือ รัฐมนตรี ส.ส.ของเพื่อไทยทุกคนต้องทำหน้าที่เต็มที่ โดยที่หัวหน้าพรรคไม่ได้ถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่าง แค่ไม่ได้ทำหน้าที่นายกฯ แต่ยังมีความเป็นนายกฯอยู่ ขณะที่ในครม.ก็ยังเป็นรัฐมนตรีวัฒนธรรม รัฐมนตรีที่ปรับใหม่ยังครบทีมเหมือนเดิม และพร้อมทำงาน ทุกคนทุกฝ่ายจะทำงานอย่างเต็มที่ งานยังต้องเดินหน้าต่อ
คำปลุกปลอบที่เป็นการปลุกใจส.ส.ของพรรคนายใหญ่จากบิ๊กอ้วนก็คือ “พวกเราพร้อมจับมือกันไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะเราผ่านมาเยอะ” ตรงนี้แหละที่ต้องขีดเส้นใต้ ที่ผ่านมาผ่านมาเยอะแล้วก็เจ็บมาเยอะเช่นเดียวกัน หนนี้หากลงเอยที่แพทองธารต้องหลุดจากตำแหน่ง แม้จะเดินหน้าต่อไปได้หากพรรคร่วมรัฐบาลยังจับมือกันเหนียวแน่น แค่เปลี่ยนตัวผู้นำ แต่สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร อาจต้องทบทวน ซึ่งเวลานี้ก็กำลังประเมินสถานการณ์อยู่ จะถูกหลอกเหมือนอดีตหลายครั้งที่ผ่านมาหรือไม่
บรรดากุนซือทั้งหลายยังมองโลกในแง่ดี ขณะที่พ่อนายกฯเองก็ยังเชื่อว่า ด้วยโจทย์ที่รับมาระหว่างดีลตั้งรัฐบาลพลิกขั้ว บริบทการเมืองที่ถูกวางกับดักไว้จากกลไกของเผด็จการสืบทอดอำนาจ ไม่มีทางที่การบริหารงานจะเป็นไปด้วยความราบรื่น เพราะจะถูกเตะตัดขาโดยพวกขาประจำ บรรดานักร้องทั้งหลาย ไม่ว่าใครจะขึ้นมาบริหารประเทศก็ตาม ขณะที่เครือข่ายของฝ่ายอนุรักษ์นิยมต้องจำนนด้วยเสียงของส.ส. ต่อให้ผลักดันคนของตัวเองมาเป็นนายกฯได้ ก็อยู่ไม่ยืดเหมือนกัน
เมื่อรู้อย่างนี้ ยังจะเดินหน้าเป็นรัฐบาลแบบถูลู่ถูกังกันไปแบบนี้หรือ มันไม่มีทางเลือกอื่น ยิ่งสูตรรัฐบาลชั่วคราว ที่ชงมาแบบขมๆจากพรรคประชาชน ซึ่งพร้อมจะยกมือหนุนแคนดิเดตนายกฯของพรรคการเมืองที่มี ที่คงหมายถึง อนุทิน ชาญวีรกูล จากภูมิใจไทย โดยที่พรรคของตัวเองจะไม่ร่วมในรัฐบาลด้วย ถามว่าใครจะรับเงื่อนไขตรงนี้ เป็นรัฐบาลเพื่อรอวันยุบสภา และทำประชามติให้มี ส.ส.ร.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แค่อ้าปากก็เห็นไปถึงไหนต่อไหน โดยเฉพาะท่าทีของพรรคสีน้ำเงินต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รู้กันอยู่แล้ว
จะว่าเป็นข้อเสนอแบบศรีธนญชัย หรือเอาแต่ได้ก็ว่าได้ หากทำตามทั้งหมดถือว่าเข้าทางพรรคสีส้มที่ตั้งธงไว้แล้วว่า ต้องยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากมั่นใจว่าพรรคของตัวเองจะได้รับเลือกตั้งกลับมาถล่มทลาย คนที่จะรับเงื่อนไขนี้ได้ต้องเป็นพวกหน้ามืด อยากเป็นนายกฯจนตัวสั่นเท่านั้น ตัดภาพไปที่วันวานในการพบปะกันของ 5 พรรคฝ่ายค้าน บรรยากาศเป็นไปด้วยความชื่นมื่น ซึ่งว่ากันตามสถานการณ์ ความจริงหากย้อนไปดูสิ่งที่แต่ละคนแต่ละฝ่ายได้โต้ตอบกันมาก่อนหน้านั้น มันชวนให้คิดได้ว่านี่คือการเมืองแบบไทยๆ จำเป็นต้องสวมหน้ากากเข้าหากัน จับมือกันได้ แต่ไม่ได้เหนียวแน่นเหมือนที่เคยจับกับอีกขั้ว
ยิ่งได้มาฟังแนวทาง 4 เรื่องที่ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านได้แถลงร่วมกับเสี่ยหนู พร้อมแกนนำพรรคฝ่ายค้านอื่น ต้องบอกว่า ให้กลับไปดูท่าทีของพรรคสีน้ำเงินในขณะที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลว่า 2 จาก 4 เรื่องที่ทางพรรคประชาชนต้องการจะทำ ซึ่งไม่ได้ต่างจากที่เพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลพยายามจะทำนั้น ทางภูมิใจไทยได้ให้ความร่วมมือและเห็นดีเห็นงามกับพรรคแกนนำหรือไม่ รับรู้กันอยู่ว่านี่คือฝ่ายค้านในรัฐบาลเวลานั้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พรรคสีน้ำเงินถือว่าเป็นผู้รับอานิสงส์สุดๆจากกฎหมายสูงสุดที่เขียนขึ้นโดยขบวนการสืบทอดอำนาจ เช่นเดียวกันกับร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ที่ผ่านมาพรรคสีส้มและพรรคสีน้ำเงินเห็นต่างกันอย่างสุดขั้ว จึงมองไม่เห็นหนทางที่จะบรรจบกันได้ แค่เงื่อนไขสองข้อนี้ก็น่าจะทำให้ทำงานด้วยกันลำบาก คงเหลือเรื่องค้านร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่เมื่อมาทำหน้าที่ฝ่ายค้านแล้ว เสี่ยหนูและคณะจะสามารถต่อต้านได้เต็มที่ ไม่ต้องมานั่งเกรงใจพรรคแกนนำรัฐบาลอีกต่อไป
ส่วนเรื่องการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในเมื่อแพทองธารต้องศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด ฝ่ายค้านก็ต้องรอกระบวนการดังว่าให้เสร็จสิ้นด้วยเช่นกัน มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เห็นการทำงานแบบเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของพรรคฝ่ายค้าน ยิ่งมีความต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งแนวคิด วิธีการ และอุดมการณ์ทางการเมือง จึงยังมองเห็นจุดลงตัวไม่เจอ การมาอยู่จุดนี้ด้วยเหตุจำใจ ยังไงเสียเสี่ยหนูและคณะต้องหาทางกลับไปเกาะขบวนอำนาจบริหารให้ได้ มิเช่นนั้น มันหมายถึงหายนะในการเลือกตั้งครั้งต่อไปนั่นเอง
อรชุน