เส้นตายหุ้นไทย

ประเด็นที่ทำให้ “โมนิก้า” หูชาในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ล้วนอยู่ที่เรื่องเส้นตายภาษีก่อนจะมีการบังคับใช้ 1 ส.ค. ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้รู้สำนักต่าง ๆ บ่นให้อีฉันฟัง “ครั้งแล้ว ครั้งเล่า”


ประเด็นที่ทำให้ “โมนิก้า” หูชาในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ล้วนอยู่ที่เรื่องเส้นตายภาษีก่อนจะมีการบังคับใช้ 1 ส.ค. ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้รู้สำนักต่าง ๆ บ่นให้อีฉันฟัง “ครั้งแล้ว ครั้งเล่า” และสุดท้ายก็เป็นเพียงแค่การปรับทุกข์ เพื่อชี้ให้เห็นความไม่สบายใจแบบนี้..มันเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำใจยอมรับสภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นให้ได้ เพราะอีฉันก็ยังต้อง “นั่งลุ้น นอนลุ้น” เพื่อให้สถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นพะยะค่ะ

เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้อีฉันมองตลาดหุ้นไทยจะแกว่งตัวผันผวนต่อไปอีกประมาณ 3 สัปดาห์ และยังเชื่อว่า ดัชนีจะประคองตัวเหนือระดับ 1,100 จุดได้ระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นผลมาจากนักลงทุนต่างชาติอาศัยช่วงชุลมุนเริ่มช้อนหุ้นวันละนิดวันละหน่อย..หากยืนระยะไม่ได้จริง ๆ ดัชนีไม่น่าหลุดโลว์เดิมที่บริเวณ 1,050 จุด เพราะมันเป็นเรื่องที่เห็นกันมาแล้ว 2 ครั้งว่า นี่เป็นจุดเด้งกลับสำคัญในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมานะซี

วันนี้เลยต้องถามย้ำกันอีกครั้งว่า การยืนปิดของดัชนีที่ระดับ 1,110.40 จุด ลบไป 5.25 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.71 หมื่นล้านบาท เหมาะต่อการ “เข้าซื้อ” หรือ “อยู่นิ่ง ๆ” เพราะการลงทุนเที่ยวนี้เหมือนเป็นการเก็งข่าวว่าประเทศไทยจะโดนภาษีทรัมป์ต่ำกว่า 36% (ถ้าโดนเก็บแค่ 20% ก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง) ส่งผลให้การเล่นหุ้นเที่ยวนี้เหมาะสำหรับผู้กล้า ส่วนคนที่แบกรับความเสี่ยงไม่ไหว ก็อย่าเข้ามาเลยจ้า!

ที่น่าสนใจคือ ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่หุ้นแบงก์สีเขียว KBANK กลับไต่เพดานขึ้นเนิ่บ ๆ จากกลางเดือนที่แล้วอยู่ที่ระดับ 147 บาท มาวันนี้หุ้นยืนปิดที่ระดับ 157.50 บาท บวกไป 1 บาท หรือขึ้นไป 0.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.03 พันล้านบาท แถมทำท่าจะขึ้นไปทดสอบไฮเดิมที่บริเวณ 165 บาทแบบนี้ เดี๊ยนมองเป็นช็อตที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเข้ามาเก็บหุ้นของนักลงทุนต่างชาติอย่างแน่นอน หรือใครจะมองเป็นเรื่องอื่น ก็แชร์กันได้นะคะ

เหมือนกับอาการสู้กลับของหุ้น WHA ก็มาจากความหวังเรื่องเจรจาภาษีทรัมป์จะออกมาในทิศทางที่ดีขึ้น จึงเห็นแรงซื้อเข้ามาไล่หุ้นอีกครั้ง ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 3.16 บาท บวกไป 0.06 บาท หรือขึ้นไป 1.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 524 ล้านบาท ก็เป็นภาพที่น่าดีใจสุด ๆ แต่เรื่องจริงจะเป็นเหมือนที่คาดหวังขนาดไหน? อีฉันตอบไม่ได้จริง ๆ เพราะยังไม่ถึงเส้นตายที่สหรัฐฯ กำหนดไว้เจ้าค่ะ

ส่วนหุ้นที่ “โมนิก้า” รู้สึกเห็นใจมากสุดในเที่ยวนี้คือ ITC เพราะมีรายได้ส่งออกอาหารให้น้องหมาน้องแมวมากถึง 50% จึงอนุมานผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทได้ทันทีว่า “เจ็บมาก” หรือ “เจ็บน้อย” ซึ่งดูรวม ๆ ก็เจ็บวันยันค่ำ ส่งผลให้ราคาหุ้นโงหัวไม่ขึ้นสักที และทำให้การยืนปิดที่ระดับ 11.50 บาท ลบไป 0.20 บาท หรือลงไป 1.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 68 ล้านบาท ไม่ใช่ข้อสรุปที่ว่า หุ้นรับข่าวร้ายเต็มที่แล้วนะจ๊ะ

สำหรับรายที่โดนผลกระทบน้อยมากอย่างหุ้น CPF กลายเป็นตัวเลือกที่ “โมนิก้า” ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษในช่วงนี้ เพราะข้อมูลที่มีการยืนยันจากปากซีอีโอก็คือ ทุกอย่างยังดำเนินงานไปตามปกติ! จึงเชื่อว่า การยืนปิดที่ระดับ 21.90 บาท บวกไป 0.40 บาท หรือขึ้นไป 1.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 400 ล้านบาท น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ราคาหุ้นกลับตัวขึ้นอีกครั้งก็เท่านั้นเอง!

ตบท้ายกันที่เรื่องขึ้นภาษีนำเข้า “ทองแดง” กับ “ยา” ของสหรัฐฯ ที่เพิ่งประกาศไปหยก ๆ แบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่ทำให้ทั่วโลกปั่นป่วนอย่างหนักอีกครั้ง และเป็นการซ้ำเติมสภาพเศรษฐกิจที่แย่ลงไปอีก มันกลายเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพราะสิ่งอีฉันเล่าให้ฟังในตอนต้น มันไม่มีเรื่องนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง..แล้วหุ้นไทยจะเป็นอย่างไรต่อไปล่ะคะ

โมนิก้าและทีมงาน

Back to top button