พาราสาวะถี

คดีความผิดมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่ ทักษิณ ชินวัตร ถูกพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง


คดีความผิดมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่ ทักษิณ ชินวัตร ถูกพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง อันเป็นผลพวงมาจากการไปให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้แล้วถูกมองว่ามีการพาดพิงดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูงนั้น ไม่ต้องลุ้น ต้องรอดูกันว่ากระบวนการสืบพยานจะแล้วเสร็จเมื่อไหร่ หลัง วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวให้สัมภาษณ์ ทีมทนายได้แถลงหมดพยาน และศาลนัดพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ เวลา 10.00 น.

เหตุผลที่ทีมทนายรวมทั้งตัวทักษิณ ตัดสินใจสืบพยานฝ่ายจำเลยแค่นัดเดียว 3 ปากที่มีทั้ง วิษณุ เครืองาม กับ ธงทอง จันทรางศุ รวมทั้งตัวนายใหญ่เอง จากเดิมได้เตรียมพยานไว้ถึง 14 ปากนั้น เนื่องจากประเมินคดีร่วมกันแล้ว เห็นว่าศาลจะพิจารณาพยานฝั่งโจทก์เป็นหลักว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ทราบการกระทำความผิดของจำเลยได้มากน้อยเพียงใดหรือไม่ หลังมีการสืบพยานฝ่ายโจทก์พบว่า พยานหลักฐานมีหลายส่วนที่ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ และหลายส่วนที่เป็นพยานบุคคลซึ่งเป็นพยานความเห็นทั้งสิ้น

ประเด็นการต่อสู้หักล้างของทีมทนายความกับฝ่ายโจทก์ ได้ชี้ให้เห็นว่าพยานเหล่านั้นมีความอคติและอยู่ฝ่ายตรงข้ามทักษิณแทบทั้งสิ้น นอกจากนั้น ยังพบว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่จะพิสูจน์ทราบการกระทำความผิดได้ชัดเจน ขณะที่การใช้วิษณุกับธงทองมาเป็นพยานนั้น เนื่องจากทั้งคู่เกี่ยวข้องกับช่วงเวลาที่ทักษิณถูกกล่าวหา และช่วงที่ยังดำรงตำแหน่งนายกฯ เป็นบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญทางกฎหมาย และด้านภาษา รวมทั้งเคยแปลและรับรู้ถึงการแสดงออก การกระทำของทักษิณว่ามีความจงรักภักดีอย่างไรอยู่แล้ว

ไปรอลุ้นผลกันว่าจะจบลงแบบไหน ซึ่งแนวโน้มน่าจะเป็นสัญญาณเชิงบวก เพราะคดีนี้ต้องบอกว่านายใหญ่ไม่ได้หนักใจมาตั้งแต่ต้น คดีที่ต้องลุ้นกันน่าจะเป็นปมชั้น 14 มากกว่า ไม่ว่าจะอย่างไร ชะตากรรมของทักษิณ กับ แพทองธาร ชินวัตร ไม่ได้ถูกนำมาผูกกับการเมืองว่าด้วยการเดินหน้าของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย เนื่องจากทุกอย่างต้องขับเคลื่อนไปตามแนวดีลที่ได้ตกลงกันไว้ตอนตั้งรัฐบาลพลิกขั้ว ทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อผลของการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่ยังไงฝ่ายบริหารจะต้องเป็นชุดเดิม

จะเห็นได้ว่ามีการจัดทัพ จัดแถวเตรียมพร้อมกันไว้แล้ว มองผ่านการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสส.ของพรรคพลังประชารัฐกว่า 30 คนที่เป็นอดีตผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยทั้งหมด เป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนอย่างหนึ่งว่า พรรคนายใหญ่ได้มีการวางตัวบุคคลที่จะลงสมัครไว้แล้วเช่นกัน จึงทำให้คนเหล่านั้นต้องไปหาที่ยืนทางการเมืองใหม่ โดยพรรคต้นสังกัดต้องรีบเปิดตัวเพื่อมีเวลามากพอในการเสนอตัวต่อคนในพื้นที่ ซึ่งถ้ามองถึงโอกาสที่จะได้รับเลือกของคนกลุ่มนี้ต้องยอมรับกันว่าริบหรี่เต็มทน

นั่นเป็นเพราะคู่แข่งที่จะตีขนาบมีทั้งคนของเพื่อไทยที่พรรคได้เลือกไว้แล้ว และผู้สมัครจากพรรคประชาชน ที่ต้องยอมรับในเรื่องกระแสยังคงดีอยู่ เมื่อเจอโจทย์แบบนี้ แล้วพรรคต้นสังกัดยังไม่ได้อยู่ในฝ่ายกุมอำนาจรัฐ ถือเป็นงานหนักอย่างยิ่ง บางคนอาจจะเป็นการเสนอตัวเพื่อชิงเก้าอี้ส.ส.เป็นหนสุดท้าย บางรายต้องส่งไม้ต่อให้ทายาทได้ชิมลางทางการเมือง โดยจะเป็นการลองของทดสอบสนาม สร้างกระดูกกันไว้ก่อน รอจังหวะที่จะหาพรรคใหม่ที่มีพลัง อำนาจมากกว่าเดิม

ขณะเดียวกัน พรรคร่วมรัฐบาลจะเห็นได้ว่ามีการรับลูกส่งลูกกันเป็นระบบ เพื่อดำเนินการในการสลายอำนาจเดิมของอดีตพรรคร่วมอย่างภูมิใจไทย เรื่องร้อนว่าด้วยงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ที่ครม.ให้แต่ละกระทรวงเสนอของบประมาณนั้น พบว่าในส่วนของมหาดไทยยุค อนุทิน ชาญวีรกูล กุมบังเหียน มีการจัดสรรงบประมาณในลักษณะกระจุกตัวภาคอีสานเน้นไปที่สุรินทร์ บุรีรัมย์ ส่วนภาคใต้ก็ที่กระบี่ สตูล ซึ่งชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ฐานเสียงสำคัญของพรรคสีน้ำเงิน

ตามข้อมูลของ เดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยจากประชาธิปัตย์ ที่เสนอต่อที่ประชุมครม.เมื่อวันอังคาร เพื่อให้พิจารณาจะมีการจัดสรรงบประมาณใหม่ได้หรือไม่ เนื่องจากช่วงนั้นท้องถิ่นคือ เทศบาลต่างๆ เพิ่งได้รับการเลือกมา หลายแห่งยังไม่ได้รับการรับรองจากกกต. ทำให้หน่วยงานเหล่านั้นเสียโอกาส โดยที่ประชุมครม.ได้ให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไปตรวจดูว่า สามารถเกลี่ยงบประมาณไปยังพื้นที่ใดบ้าง

เมื่อรัฐมนตรีช่วยจากพรรคเก่าแก่ชงมาแบบนี้ ภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะมท.1 ต้องรับลูกเป็นธรรมดา แต่ไม่ใช่ทบทวนเฉพาะเรื่องนี้ ยังรวมไปถึงการเดินหน้าตรวจสอบหลายเรื่องที่พบว่าไม่เหมาะสมซึ่งอาจนำไปสู่ความผิดได้ บิ๊กอ้วนลั่นวาจาไว้ว่า จะตรวจสอบอย่างเข้มข้น โดยไม่ได้ไม่พอใจอะไร ถือเป็นการทำหน้าที่ พร้อมฝากสารไปถึงเสี่ยหนูด้วยว่า “คุณอนุทินหากทำงานอย่างตรงไปตรงมาก็ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกระโตกกระตาก ให้คนรู้ รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว”

ท่วงทำนองแบบนี้ ทำให้เห็นชัดว่า ตลอดระยะเวลาของการร่วมงานกันในฐานะรัฐบาลผสมนั้น พรรคนายใหญ่อึดอัดต่อพฤติกรรม และท่าทีของพรรคสีน้ำเงินเป็นอย่างยิ่ง พอแยกจากกันจึงไล่กวด ตามตรวจสอบหลายเรื่องชนิดไม่ไว้หน้ากันเลยทีเดียว ขณะที่อีกฝ่ายก็โจมตี กล่าวหากันแบบหนัก ๆ อยู่ตลอดเวลา แต่อย่าพึ่งด่วนสรุปว่าตอบโต้กันดุเดือดแบบนี้ คงไม่มีโอกาสที่จะกลับมาร่วมงานกันอีกแล้วกระมัง ต้องอย่าลืมว่านายใหญ่เคยบอกไว้  “อาจจะต้องมีการกลืนเลือดหลายปี๊บ” หากในอนาคตต้องกลับมาร่วมงานการเมืองกับภูมิใจไทยอีก

เป็นวิถีปกติของการเมืองแบบไทย ๆ แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น วันนี้อะไรที่อีกฝ่ายทำไว้ในช่วงกุมอำนาจ แล้วทำท่าว่าไม่ชอบมาพากล ก็ต้องตรวจสอบกันให้ถึงที่สุด โดยเฉพาะเรื่องที่ดินเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ศาลฎีกาและศาลปกครองสูงสุดพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่าเป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นหน้าที่ที่จะต้องเร่งดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนที่คนของพรรคสีน้ำเงินอ้างจะต้องต่อสู้เพื่อประชาชน ไม่ได้เหนือความคาดหมาย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ใช้ประชาชนเป็นตัวประกัน อาศัยเป็นเครื่องมือในการต่อรอง และกดดันอยู่แล้ว จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะสั่งการไปยังหน่วยงานให้เร่งจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด

อรชุน

Back to top button