
แรงเกินคาด!
การที่ดัชนีพุ่งขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,219.62 จุด บวกไป 27.87 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.51 หมื่นล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่ช่วยให้นักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ ชุมชื่นหัวใจเป็นอย่างมาก
การที่ดัชนีพุ่งขึ้นมาปิดที่ระดับ 1,219.62 จุด บวกไป 27.87 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.51 หมื่นล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่ช่วยให้นักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ ชุมชื่นหัวใจเป็นอย่างมาก แต่อย่าลืมว่า การพุ่งแรงเป็นปรอทแตกมาจากอิทธิพลตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังประเทศญี่ปุ่นบรรลุข้อตกลงภาษีทรัมป์ที่ระดับ 15% จากเดิมที่โดนเรียกเก็บ 25% ขณะที่ประเทศฟิลิปปินส์โดนเก็บในระดับ 19% จากเดิมอยู่ที่ระดับ 20% นะจะบอกให้
สถานการณ์ตรงนี้ทำให้หลายคนเชื่อว่า ประเทศไทยน่าจะโดนเก็บใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน และเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ไทยโดนขึงพืดอยู่ที่ระดับ 36% ก็ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในการซื้อหุ้นมากขึ้น และมีแนวโน้มที่ดัชนีจะขึ้นไปทดสอบไฮเดิมที่บริเวณ 1,230 จุดได้สบาย ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกเอื้อให้นักลงทุนสถาบันหวนกลับเข้ามาลงทุนอีกรอบไงล่ะคะ
ถึงกระนั้น “โมนิก้า” ก็ไม่อยากหลงระเริงไปกับแสงสีเขียว ๆ มากเกินงาม เพราะปัจจัยภายในของไทยยังมีลักษณะเปราะบางหลายด้าน และตัวชี้วัดว่าดัชนีจะได้ไปต่อก็อยู่ที่งบไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนจะเป็นอย่างไร? หลังนักลงทุนได้เห็นงบแบงก์ที่ประกาศออกมาก่อนหน้านี้..มีทั้งกำไรเพิ่มขึ้น กำไรทรงตัว และกำไรทรุดตัว จึงต้องดูกันต่อไปว่า งบกลุ่มอื่นอย่าง ไฟแนนซ์ สื่อสาร พลังงาน และอสังหาฯ จะช่วยหนุนหุ้นไทยอะป่าว?
ประหลาดสุดน่าจะเป็นในรายของ CPALL ที่กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีความกังวลเกี่ยวกับผลงานอาจไม่เป็นไปตามเป้า เพราะกำลังซื้อของคนในประเทศลดลงต่อเนื่อง “โมนิก้า” จึงไม่ขอแสดงความคิดเห็นอะไรมากมายกับหุ้นตัวนี้ เพราะอยากเห็นงบเสียก่อน เลยฝากให้นักเล่นประเมินการยืนปิดที่ระดับ 48 บาท บวกไป 1.25 บาท หรือขึ้นไป 2.65% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.13 พันล้านบาท ยังน่าสนใจไหม?
เช่นเดียวกับการดีดตัวของหุ้น HMPRO พร้อมกับยืนปิดที่ระดับ 7.15 บาท บวกไป 0.10 บาท หรือขึ้นไป 1.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 443 ล้านบาท กลายเป็นช็อตที่น่าสนใจเหมือนกับรายข้างต้น เพราะสาเหตุของการโดนขายต่อเนื่องมาจากความกังวลว่า กำไรอาจไม่ตามเป้าที่ตั้งไว้ พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่ได้แย่หนักเหมือนที่กังวล อีฉันเลยมองว่า การเทรดบน PE 14 เท่า เป็นความเสี่ยงที่ขาลุยรับได้นะจ๊ะ
เม้าท์ถึงเรื่องความเสี่ยงที่รับได้ขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ของมองไปที่หุ้นสายการบินสีแดงอย่าง AAV เป็นลำดับถัดมา เพราะการดีดตัวแรงวันแรก หลังจากร่วงลง 3 วันติด อาจเป็นการรีบาวด์ธรรมดา ๆ แต่ถ้ามองเรื่องของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ก็ทำให้อีฉันเชื่อว่า การยืนปิดที่ระดับ 1.30 บาท บวกไป 0.10 บาท หรือขึ้นไป 8.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 155 ล้านบาท เหมาะต่อการโหนกระแสอย่างไม่ต้องสงสัย หลังหุ้นเทรดบน PE 3 เท่าเองค่ะ
ส่วนหุ้นอีกตัวที่เด้งขึ้นแรงไม่แพ้กัน “โมนิก้า” ต้องยกให้หุ้นน้ำดื่มเพื่อสุขภาพอย่าง SAPPE เป็นรายถัดมา เพราะการพุ่งขึ้นยืนที่ระดับ 37.50 บาท บวกไป 3.50 บาท หรือขึ้นไป 10.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 98 ล้านบาท หลังแกว่งตัวไปมาในกรอบแคบๆ ที่บริเวณ 34 บาทเป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์ มันทำให้เชื่อว่า เที่ยวนี้ไม่น่าจะมาเล่น ๆ แถมหุ้นยังเทรดบน PE 10 เท่าแบบนี้ จึงเป็นจังหวะของการไหลตามน้ำก็เท่านั้นเองจ้า!
สำหรับรายที่พยายามคัมแบ็ก แต่ยังคัมแบ็กไม่ได้เสียทีอย่าง GPSC ก็มีมุมให้เล่นตามกระแสเหมือนกับรายข้างต้น แต่เผอิญมูฟเม้าท์หลายอย่างดูแพงกว่ารายข้างต้นที่เอ่ยมา “โมนิก้า” เลยไม่แน่ใจว่า เที่ยวนี้จะฝ่าแนวต้านเดิมที่บริเวณ 35 บาทขึ้นไปได้หรือเปล่า? ผนวกกับการยืนปิดที่ระดับ 32.75 บาท บวกไป 2 บาท หรือขึ้นไป 6.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 372 ล้านบาท เป็นการเทรดบน PE 20 เท่าเสียด้วย อีฉันเลยไม่แน่ใจว่า หุ้นจะได้ไปต่ออะป่าว?
โมนิก้าและทีมงาน