
พาราสาวะถี
ใช้ช่องทางเจรจาไปก็ป่วยการเปล่า ถึงเวลาที่จะต้องปฏิบัติการทางทหารอย่างจริงจังเพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศไทย
ใช้ช่องทางเจรจาไปก็ป่วยการเปล่า ถึงเวลาที่จะต้องปฏิบัติการทางทหารอย่างจริงจังเพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศไทย แต่คงจะเกิดคำถามว่า ขณะที่ทางฝ่ายเขมรเปิดฉากยิงเข้าใส่ทหารไทย และมีการยิงปืนใหญ่มายังประเทศไทย ตกใส่บ้านเรือน ชุมชนของคนไทย ทำไมทางกองทัพถึงไม่โต้กลับในรูปแบบเดียวกัน นั่นเป็นเรื่องทางยุทธวิธี เพราะทางการข่าวของฝ่ายความมั่นคงพบว่า ความสามานย์ของอีกฝ่ายคือการจัดทหารเป็นชุดขนาดเล็กไปฝังตัวตามหมู่บ้านแนวชายแดน
นั่นหมายความว่า เมื่อมีการยิงมาจากอีกฝั่ง หากทหารไทยยิงสวนกลับไป จะเท่ากับการไปถล่มพื้นที่พลเรือน ก็จะถูกฝ่ายเขมรที่เล่นเกมชั่วช้าประณามว่าทหารไทยเข่นฆ่าประชาชน คนมือเปล่า นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ทางกองทัพ ใช้เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 6 ลำ ขึ้นบินแล้วยิงถล่มเป้าหมายทำลาย บก.พลน้อย.สสน.8 บก.พลน้อย.สสน.9 ของกัมพูชาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ตรงนี้ถือเป็นการโจมตีที่ตรงจุด ล็อกเป้าหมายแม่นยำ
กองกำลังดังกล่าวทางฝ่ายไทยได้ใช้โดรนลาดตระเวนของกองทัพอากาศ สำรวจ ยืนยันเป้าหมายไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้เห็นถึงความเคลื่อนไหว เมื่อถึงยามคับขันก็สามารถที่จะจัดการได้ทันที ถึงตอนนี้ยังไม่มีการรายงาน หรือแถลงมาจากฝั่งเขมร คงไม่กล้าบอกว่าไพร่พลของตัวเองบาดเจ็บ ล้มตายเท่าไหร่ เนื่องจากจะทำให้ชาวเขมรขวัญหนีดีฝ่อ รวมทั้งทหารของตัวเองก็จะเสียขวัญตามไปด้วย ส่วนสถานการณ์จะยกระดับถึงขั้นสงครามหรือไม่ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด
ถึงตรงนี้ไม่จำเป็นต้องถามว่าการเจรจาจะเกิดขึ้นหรือไม่ สัญญาณจากพ่อนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และ แพทองธาร ชินวัตร ที่ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ผู้นำประเทศอยู่ ชัดเจนว่า ประเทศไทยได้ใช้ความอดทน อดกลั้น เดินตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศและการทำหน้าที่เพื่อนบ้านที่ดีครบถ้วนแล้ว ต่อไปนี้ทหารไทยสามารถตอบโต้ตามแผนยุทธการ และกระทรวงการต่างประเทศสามารถกำหนดมาตรการต่างๆ ได้ด้วยความชอบธรรม
เป็นไปตามที่ “บิ๊กเล็ก” พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์ ถ้าถึงขั้นนี้ก็คงไม่พูดคุยกันแล้ว ตนได้หารือกับทางกองทัพและตัดสินใจจะ มอบอำนาจให้กับผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในการอำนวยการยุทธ์ ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหมปี 2539 ยืนยันกองทัพไทยอดทนอดกลั้นมาถึงที่สุดแล้ว ต่อไปจะไม่อดทน เพราะรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น จึงขอฝากให้ประชาชนทุกคนให้กำลังใจกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่บริเวณแนวชายแดน โดยเฉพาะกองทัพภาคที่ 2
แน่นอนว่า เมื่อกองทัพไทยดำเนินการตอบโต้ อีกฝ่ายก็ต้องเล่นบทเป็นผู้ถูกกระทำ และกล่าวหาว่าถูกโจมตีก่อน ทั้งพ่อลูก ฮุน เซน กับ ฮุน มาเนต พูดเป็นเสียงเดียวกัน ทำให้แพทองธารต้องโพสต์ไอจีสตอรี่ภาพข่าวโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาอ้างไทยเป็นฝ่ายยิงก่อน พร้อมข้อความว่า “ตามคาด! ยิงก่อนบอกเราเริ่ม!!” รวมถึงภาพข่าวฮุน เซน ระบุกัมพูชาไม่มีทางเลือกนอกจากสู้กลับ พร้อมข้อความว่า “ตามคาด!!! ทำตัวเป็นเหยื่อ!!!!”
การเล่นละครทำตัวให้น่าสงสารของพ่อลูกตระกูลฮุนนั้น ไม่ได้แค่คร่ำครวญผ่านโซเซียลมีเดียเพียงอย่างเดียว เพราะ ฮุน มาเนต ได้มีการส่งจดหมายถึง คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือ UNSC อ้างว่าไทยเป็นผู้รุกราน เปิดฉากโจมตีก่อน ขณะที่ทางการไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศได้แค่ออกแถลงการณ์ประณามกัมพูชา ลดระดับสัมพันธ์ทางการทูต เรียกร้องให้อีกฝ่ายรับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยุติการโจมตีเป้าหมายทางทหาร พลเรือน ยุติละเมิดอธิปไตยไทย ไม่รู้ว่าเป็นการช้ากว่าอีกฝ่ายหรือเปล่า
ตามขั้นตอนเมื่อเรื่องส่งถึง UNSC จะมีการเรียกประชุมฉุกเฉิน เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน มีการประเมินสถานการณ์อย่างละเอียด เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นเข้าข่ายภัยคุกคามต่อสันติภาพ ตามกฎบัตรของสหประชาชาติหรือไม่ หากเข้าข่ายจะตามมาด้วยการกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขสถานการณ์ ตรงนี้จะเห็นได้ว่าเขมรมีการเตรียมการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน หรืออีกนัยเป็นการสะท้อนความจริงว่า เมื่อเข้าสู่ภาวะการรบกันเต็มรูปแบบผลจะออกมาเป็นยังไง
จึงต้องรีบไปร้องเพื่อขอที่คุ้มกะลาหัวก่อน แต่ไม่ได้มีสำนึกที่ว่าการเปิดฉากโจมตีฝ่ายไทยนั้น ทำให้พลเรือนเสียชีวิตถึง 9 ราย เป็นเด็ก 2 ราย การใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายพลเรือนนั้น เป็นสิ่งที่ไทยจะต้องชี้ให้ทั่วโลกเห็นถึงความโหดร้าย ป่าเถื่อนของเขมร ขณะเดียวกันเมื่อเปิดยุทธการตอบโต้แล้ว ปฏิบัติการณ์ทางทหารของกองทัพไทยก็ต้องเด็ดขาดเช่นกัน เหมือนที่กองทัพภาคที่ 2 เผยแพร่ข้อมูล ทหารไทยตอบโต้ทหารกัมพูชาพื้นที่ภูมะเขือ ด้วยปืนใหญ่ เป้าหมายทหารอีกฝ่ายจำนวน 2 กองพัน ต้องกำจัดให้สิ้นซาก
ทั้งนี้ ในการตอบโต้นั้นทางกองทัพไทยยังยึดหลักการข้อตกลงระหว่างประเทศ โดยยืนยันสิทธิในการป้องกันตนเองตามกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 51 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “รัฐสมาชิกมีสิทธิในการใช้กำลังเพื่อป้องกันตนเอง หากถูกโจมตีก่อน พร้อมทั้งต้องรายงานต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทันที…” ซึ่งการโจมตีเน้นเฉพาะเป้าหมายทางทหาร หลีกเลี่ยงการกระทบต่อทรัพย์สินทางวัฒนธรรม เช่น ปราสาทโบราณ ไม่ใช้ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือทางทหาร เพราะจะทำให้หมดสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศ
แต่ชวนให้เกิดคำถามตามมาว่า ขณะที่กองทัพบกไทยยึดหลักปฏิบัติการตอบโต้ในลักษณะจำกัดวงและจำเพาะเป้าหมายทางทหาร เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อประชาชนกัมพูชา แต่อีกฝ่ายกลับโจมตีแบบบ้าระห่ำไม่เลือกไม่ว่าจะเป็น ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทโดนตรวน ปั๊มน้ำมันบ้านผือ ที่ศรีสะเกษ โรงพยาบาลพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ล้วนเป็นพื้นที่พลเรือนและโบราณสถาน เป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจน กระทรวงการต่างประเทศจะต้องแข็งขันนำเรื่องเหล่านี้ไปบอกกล่าว ให้นานาชาติได้รับรู้ ได้ร่วมประณามการกระทำที่เลวทรามต่ำช้านี้
อรชุน