
พาราสาวะถี
ถูกมหาอำนาจโลกอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ บีบให้เข้าสู่วงเจรจา ย่อมไม่มีทางเลือกเป็นอื่น จึงเป็นบทสรุปที่ ภูมิธรรม เวชยชัย นำคณะไปหารือกับ ฮุน มาเนต ที่มาเลเซีย
ถูกมหาอำนาจโลกอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ บีบให้เข้าสู่วงเจรจา ย่อมไม่มีทางเลือกเป็นอื่น จึงเป็นบทสรุปที่ ภูมิธรรม เวชยชัย นำคณะไปหารือกับ ฮุน มาเนต ที่มาเลเซีย จบลงตรงที่หยุดยิงทันที ในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่ด้วยความเจ้าเล่ห์ของเขมร และเป็นไปตามที่กองทัพได้ประเมิน ต้องมีปฏิบัติการหนักหน่วงก่อนถึงเดดไลน์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดการปะทะกันอย่างดุเดือดในหลายจุด ซึ่งจบลงตรงที่ทหารกล้าของไทย สามารถยึดคืนและรักษาฐานที่มั่นที่อีกฝ่ายต้องการยึดครองได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เกมสกปรกของฝ่ายเขมรไม่ได้เหนือความคาดหมาย แม้จะหยุดยิงไปแล้วก็ยังมีการระดมยิงอาวุธสนับสนุนเข้ามายังฝั่งไทย นั่นเป็นเหตุให้การเจรจาตามที่วงหารือกำหนดไว้ต้องถูกเลื่อนออกไปหลายชั่วโมง ก่อนที่เริ่มการพูดคุยได้ในช่วงสาย โดยพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 พลโท อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 พร้อมกองกำลังบูรพา และกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ได้ดำเนินการพบปะหารือร่วมกับฝ่ายกัมพูชาที่สระแก้ว พื้นที่กองทัพภาคที่ 2 พลโทบุญสิน พาดพลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กับรองผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา และผู้บัญชาการทหารภูมิภาคที่ 4 ได้หารือกันที่ช่องจอม จังหวัดสุรินทร์
ผลของการหารือ พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกแถลง มีข้อตกลงร่วมกัน 7 ข้อ คือ หยุดยิง ห้ามยิงต่อประชาชน หยุดเพิ่มเติมกำลัง ห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง และอำนวยความสะดวกในการส่งกลับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งจัดตั้งชุดประสานงานเพื่อแก้ปัญหาฝ่ายละ 4 คน อย่างไรก็ตาม บทสรุปที่เป็นทางการ และทางออกที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องคุยให้ได้ข้อยุติ ต้องรอผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไทย หรือ GBC ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคมนี้
แน่นอนว่า ทางกองทัพไม่ไว้วางใจต่อฝั่งเขมรอยู่แล้ว แม้แต่ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเอง ยังยืนยัน “ไม่ได้แปลกใจกับความไม่เป็นสุภาพบุรุษ” ของอีกฝ่าย ต่อการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ด้วยเหตุนี้จึงยังไม่อาจไว้วางใจได้ว่าสถานการณ์ที่สงบลง ณ เวลานี้ จะเป็นการสงบศึกแบบถาวรหรือแค่ชั่วคราว บางทีอาจจะเป็นแค่หยุดปะทะกันหนักหน่วง แต่เชื่อว่าคนอย่าง ฮุน เซน ต้องหาทางที่จะเปิดศึกอีกแน่ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
นั่นจึงเป็นเรื่องที่กองทัพไทยจำเป็นต้องคงกำลังทหารไว้ในพื้นที่เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศอย่างแข็งขัน ด้วยความที่ไม่เชื่อใจอีกฝ่าย จึงเป็นเหตุให้ที่ประชุมครม.ยืนยัน ให้กองทัพรักษาอธิปไตย และบูรณภาพแผ่นดินแดนอย่างเต็มที่ กรณีการเรียกเอกอัครราชทูตไทยกลับประเทศยังคงย้ำในจุดยืนเดิม เช่นเดียวกันกับการส่งทูตกัมพูชากลับประเทศ แต่สิ่งที่ประชาชนอยากเห็นคงเป็นแอ็คชั่นที่รวดเร็ว ทันสถานการณ์ของทางรัฐบาล
จะโดยกระทรวงการต่างประเทศ หรือโฆษกรัฐบาลก็ตาม จะเห็นได้ว่าฝั่งเขมร ใช้ พลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมคนเดียวในการแถลงข่าว ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จส่วนใหญ่ ฟ้องชาวโลกอยู่เป็นระยะ ขณะที่ทางไทยแม้จะมีโฆษกกองทัพบก และโฆษกกองทัพไทยชี้แจงข้อเท็จจริง อาจจะมีน้ำหนักหักล้างอีกฝ่ายได้ แต่เพื่อความหนักแน่น และสร้างการรับรู้ในวงกว้างต่อชาวโลก ฝ่ายบริหารจำเป็นจะต้องขับเคลื่อนเรื่องเหล่านี้ด้วย
จะมามัวมะงุมมะงาหรา อ้างว่าต้องรอข้อมูลจากฝ่ายกองทัพคงไม่ได้ ในยุคโซเซียลมีเดีย การชิงเปิดพื้นที่ข่าวได้ก่อนย่อมสร้างความได้เปรียบ และยิ่งเป็นข้อมูลที่เป็นจริงด้วยแล้ว ยิ่งเป็นการตอกย้ำความชอบธรรมในปฏิบัติการของฝ่ายทหารไทย ที่สู้รบเพื่อปกป้องรักษาแผ่นดิน ไม่ต้องพูดถึงว่านายกฯ ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ บทบาทของบิ๊กอ้วนในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ สามารถที่จะขับเคลื่อนได้ โดยไม่ต้องถูกครหาว่าชักช้าเพราะยังเกรงใจอีกฝ่ายอยู่หรือไม่
ในเวลานี้เชื่อว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจแล้วว่า ยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้คนไทยต่างล้วนรักสามัคคี รวมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวเพื่อที่จะปกป้องอธิปไตยของประเทศ สิ่งที่ จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกรัฐบาล บอกว่ารัฐบาลได้ดำเนินการรายงานให้ผู้สังเกตการณ์วงเจรจาที่กัวลาลัมเปอร์คือ สหรัฐอเมริกากับจีนให้รับทราบว่ากัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลงในการหยุดยิงนั้น เข้าใจว่าอาจจะแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ แต่จังหวะที่ทุกอย่างต้องกระชับฉับไว จำเป็นต้องแถลงโดยเร็ว ยิ่งมีเอกสารประกอบด้วยความหนักแน่น ย่อมสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากประชาชน
เรื่องนี้ไม่ใช่แต่ประชาชนเท่านั้นที่ต้องการเห็นความรวดเร็วในการทำงานเชิงรุกด้านการต่างประเทศ แม้แต่กองทัพก็อยากเห็นด้วยเช่นกัน เนื่องจากทุกครั้งที่มีข่าวคราวเกี่ยวกับการสู้รบไปสู่สายตาชาวโลก มักจะมาจากฝั่งเขมรเป็นส่วนใหญ่ ย่อมสะท้อนให้เห็นประสิทธิภาพในการทำงานของฝ่ายบริหารได้เป็นอย่างดี จริงอยู่ยุคนี้ไอโอไม่ได้สำคัญเหมือนในอดีต และคนทั่วโลกเลือกที่จะเสพข่าวสารอย่างมีสติ แต่การได้ช่วงชิงพื้นที่สื่อสาร จะช่วยสร้างความได้เปรียบ และมั่นใจต่อฝ่ายความมั่นคงในการปฏิบัติงานแนวหน้าได้อย่างเต็มที่
ยังดีที่ว่ารัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงกลาโหมเวลานี้เป็น พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ ในฐานะที่เคยเป็นอดีตผู้บัญชาการทหารบก และเคยมีประสบการณ์วางแผนการรบ ทุกการตัดสินใจจนนำไปสู่บทสรุปบนเวทีเจรจาที่มาเลเซียนั้น ได้ผ่านกระบวนการประสานทำความเข้าใจกับกองทัพมาเป็นอย่างดี ซึ่งไม่ใช่การยอมเพื่อหวังผลทางการเมือง แต่เป็นเรื่องของการทำให้ ลดความสูญเสียชีวิตของประชาชน รวมไปถึงทหารกล้าที่ปฏิบัติงานแนวหน้าด้วย
กรณีนี้บิ๊กเล็กย้ำว่าการเจรจาให้หยุดยิงไม่เกี่ยวข้องกับการเจรจาภาษีทรัมป์ ตนดูทุกด้าน อยากให้พูดด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ใช้แค่มุมเดียวมากล่าวหา ที่เป็นกังวลว่ารัฐบาลจะสั่งไม่ให้กองทัพตอบโต้อีกฝ่ายนั้น ยืนยันว่าเขมรยิงมา ทหารไทยต้องสวนกลับแน่นอน คงเป็นไปอย่างที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมว่า การบริหารจัดการทุกอย่างภายในประเทศต้องยึดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยไม่ต้องสนใจว่าฝ่ายเขมรจะเป็นอย่างไร แรงมาแรงกลับ หยุดยิงแล้วคุยกันได้ก็คุย คุยไม่จบก็ต้องอยู่กันไปอย่างนี้
อรชุน