TOP กำไรซื้อหนี้คืน.!

ดูเหมือนงบไตรมาส 2/2568 ของหุ้นกลุ่มโรงกลั่นจะแย่ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเป็นผลมาจากดีมานด์ที่หดตัว จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว


ดูเหมือนงบไตรมาส 2/2568 ของหุ้นกลุ่มโรงกลั่นจะแย่ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเป็นผลมาจากดีมานด์ที่หดตัว จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว แล้วไหนจะมาเจอราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง ทำให้เกิด Stock Loss หรือขาดทุนสต๊อกน้ำมันกันถ้วนหน้า ไม่เท่านั้นยังโดนพิษค่าเงินบาทแข็งโป๊กเล่นงานอีกดอก…

เลยทำให้ตัวเลขบรรทัดสุดท้ายของกลุ่มโรงกลั่นติดลบบานตะไท…ไม่ว่าจะเป็น บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) หรือ BSRC ที่พลิกไปขาดทุนสุทธิ 2,006 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 221 ล้านบาท ส่วนบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC พลิกไปขาดทุนสุทธิ  812 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 345 ล้านบาท

ฟากบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP พลิกไปขาดทุนสุทธิ 2,560 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,823 ล้านบาท ด้านบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ขาดทุนสุทธิ 2,132 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 732 ล้านบาท

แต่เอ๊ะ…มาสะดุดตาที่งบบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ซึ่งผิดแผกไปจากโรงกลั่นอื่น ๆ เพราะแทนที่จะขาดทุน แต่กลับโชว์กำไรสุทธิอยู่ที่ 6,476 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5,547 ล้านบาทซะงั้น…

น่าแปลกทำไม TOP ถึงมีกำไรสุทธิโป่งพองได้ขนาดนี้…งั้นไปส่องไส้ในกันหน่อยดีกว่า…

ถ้าดูจากคำอธิบายของงบการเงินในไตรมาส 2/2568 จะเห็นว่าแต่ละรายการติดลบเกือบหมด ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากการขายลดลง 17.18% อยู่ที่ 99,086 ล้านบาท เทียบกับในไตรมาส 2/2567 ที่ทำได้ 119,639 ล้านบาท ตามด้วยการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันปาไป 4,171 ล้านบาท เทียบกับกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 1,395 ล้านบาทในไตรมาส 2/2567

ขณะที่มีผลขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงินอยู่ที่ 621 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 435 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 186 ล้านบาท รวมทั้งมีรายการปรับลดมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 492 ล้านบาท เทียบกับการกลับรายการมูลค่าสินค้าคงเหลือน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป 735 ล้านบาทในไตรมาส 2/2567 

นอกจากนี้ ยังมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 384 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 150 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 2/2568 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 33.72 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าเมื่อเทียบกับ 36.87 บาทต่อดอลลาร์ในไตรมาส 2/2567

อ้อ…ตัวที่เป็นบวกเห็นจะเป็นการบันทึกกำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้จำนวน 2,522 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,591 ล้านบาทจากไตรมาส 2/2567 

ที่แท้ TOP มีกำไรจากการซื้อหนี้ (หุ้นกู้) คืนช่วยหนุนนี่เอง..!!

ดูท่ากลยุทธ์ซื้อคืนหุ้นกู้จะเป็นท่าไม้ตายของกลุ่มปตท.นะเนี่ย ถ้าจำกันได้เมื่อช่วงปีที่แล้ว บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ก็มีการบุ๊กกำไรพิเศษจากการซื้อคืนหุ้นกู้ จนทำให้กำไรในไตรมาส 2/2567 เบ่งบานมาแล้วนะจิบอกให้

กลับมาที่ TOP นอกจากมีกำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้แล้ว ในไตรมาสนี้ยังมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น นั่นคือ เงินลงทุนในบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ซึ่งกลุ่มไทยออยล์ถือหุ้นสัดส่วน 15% โดยบริษัทย่อยของ CAP ได้รับรู้กำไรจากการต่อรองราคาจากการเข้าซื้อธุรกิจบริษัท Aster Chemical and Energy Pte. Ltd. ในประเทศสิงคโปร์ โดยกลุ่มไทยออยล์รับรู้กำไรตามสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 7,062 ล้านบาท

กลายเป็นสองกองหนุนที่หนุนให้งบในไตรมาส 2/2568 ของ TOP ดูดีอย่างที่เห็น…

แหม๊…งบก็ดี แต่น่าเสียดายที่หุ้นไม่ตอบสนองเอาซะเลย…

เสียของจริง ๆ พับผ่าสิ..!!

…อิ อิ อิ…

Back to top button