พาราสาวะถี

ข่าวปล่อยอันเกี่ยวข้องกับการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่จะทำการพิจารณาในวาระสองและสามของสภาผู้แทนราษฎร


ข่าวปล่อยอันเกี่ยวข้องกับการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่จะทำการพิจารณาในวาระสองและสามของสภาผู้แทนราษฎรระหว่างวันที่ 13-15 สิงหาคมนี้ ถูกลากไปถึงกระบวนการของวุฒิสภาที่จะต้องโหวตในขั้นตอนสุดท้ายด้วยว่า จะมีการล้มร่างกฎหมายสำคัญฉบับนี้ เป็นธรรมดาเพราะมีการผูกเอาเรื่องนี้เข้ากับกรณี สว.สายสีน้ำเงินถูกเล่นงานจากคดีฮั้วเลือก สว.ประกอบกับพรรคที่มีสายสัมพันธ์อันดีต่อกัน หรือถึงขั้นที่ว่าเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง ไม่ได้ร่วมรัฐบาลแล้ว ย่อมทำให้ข่าวมีน้ำหนัก

ทั้งที่ความจริงต้องไม่ลืมว่า นี่เป็นจังหวะอันสำคัญของฝ่ายนิติบัญญัติไม่ว่าจะเป็นสภาสูงหรือสภาล่าง ในการที่จะต่อรอง หาช่องทางที่จะได้ประโยชน์จากกระบวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ เป็นกันมาทุกยุคทุกสมัย ดังนั้นระหว่างข่าวว่าจะมีการล้มร่างกฎหมาย กับเรื่อง แพทองธาร ชินวัตร เตรียมไขก๊อกพ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี หากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณผ่านสภา อย่างหลังยังพอจะมีเค้าลางมากกว่า แต่ทั้งหมดคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ด้วยปัจจัย เพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลที่ทำทุกทางเพื่อให้ได้อำนาจบริหารมาอยู่ในมือ เมื่อได้รับมาแล้ว ย่อมประคับประคองไปให้สุดทาง แม้ระหว่างนี้อาจมีอุบัติเหตุทางการเมืองว่าด้วยเก้าอี้ผู้นำของแพทองธาร แต่ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อลงมาคลุกการเมืองเต็มตัว มองผ่านการขับเคลื่อนตั้งแต่ยึดเก้าอี้ มท.1 คืนมาจากพรรคสีน้ำเงิน จนเกิดเป็นความร้าวฉาน และขยายวงบานปลายไปจนถึงเรื่องเขากระโดง นั่นย่อมชี้ให้เห็นว่า การขยับในทุกเรื่องต้องหวังผลไปถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่แล้ว

ชะตากรรมของลูกสาวคนเล็กที่อยู่ในมือของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ปล่อยให้เป็นไปตามครรลอง ถ้ารอดถือว่าโชคดีเบอร์ใหญ่ และจะทำให้นายใหญ่สามารถเคลื่อนเกมการเมืองได้แบบเต็มรูปแบบ หากร่วงขึ้นมาก็ต้องเดินตามแผนดันแคนดิเดตนายกฯ ที่เหลืออยู่ ชัยเกษม นิติสิริ มาขัดตาทัพไปพลาง จนกว่าจะพร้อมเข้าสู่สนามเลือกตั้ง โดยที่พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดไม่มีความคิดจะแยกย้าย เพราะภายใต้สถานการณ์การเมืองที่คู่แข่งขันชัดเจน การเกาะกุมกับอำนาจบริหารเป็นสิ่งที่ปลอดภัย และสร้างความได้เปรียบมากกว่า

แม้ว่าจะรู้กันดีเมื่อถึงเวลานั้น คนส่วนใหญ่จะตัดสินใจอย่างไร แต่เมื่อยังไม่ถึงจังหวะนั้น การได้อยู่ในอำนาจย่อมสามารถที่จะดำเนินการสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและพรรคต้นสังกัดได้ ต่อให้ไม่ได้กลับมา อย่างน้อยก็ไม่ลำบาก สำคัญไปกว่านั้นคือเป็นที่รับรู้ในระดับแกนนำที่ร่วมวงปิดดีลรัฐบาลพลิกขั้ว การจับมือกันไม่ได้จบแค่ภารกิจหนนี้เท่านั้น ยังต้องเดินร่วมกันต่อไป อยู่ที่ว่าบริหารจัดการร่วมกันอย่างไร การเขี่ยภูมิใจไทยพ้นเส้นทางเป็นภาวะที่ต้องทำ

การขวางลำในเรื่องสำคัญหลายอย่างที่นายใหญ่ต้องเดินหน้า ถือว่าเป็นภาระหนักต่อรัฐบาล ซึ่งการสะบั้นความสัมพันธ์นั้น ไม่ได้ทำโดยพลการ หากแต่มีการต่อสายได้รับการส่งสารมาจากผู้ที่นายใหญ่และฝ่ายพรรคสีน้ำเงินต่างให้ความเคารพ ต้องจบกันแบบนี้ มีปุจฉาว่าถ้ายังญาติดีต่อกัน แล้วสิ่งที่พรรคสีน้ำเงินโดนกระทำมันดูโหดร้าย รุนแรงไปมาก ตรงนั้นถือเป็นเรื่องที่ต้องปล่อยไปตามกระบวนการ ถูกผิดไปว่ากันตามขั้นตอนของกฎหมาย

สำหรับการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 69 อาจมีการปะทะกันระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาล เป็นสีสันของสภาฯ แต่ไม่หนักหน่วงถึงขั้นที่ดำเนินการประชุมกันต่อไม่ได้ แม้แต่พรรคประชาชนที่เป็นแกนนำฝ่ายค้าน ขนาดมีมติไม่รับหลักการ ยังไม่กล้าการันตีว่าเสียง สส.ของตัวเองจะมีส่วนที่แตกแถวไปหนุนรัฐบาลหรือไม่ เช่นเดียวกับภูมิใจไทย ที่ประกาศท่าทีแบบแทงกั๊ก เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงทำให้อ่านสัญญาณต่อไปได้ว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยความเรียบร้อย สมประโยชน์กันทุกฝ่าย

โดยการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ของสภาผู้แทนราษฎร ที่ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานนั้น ได้ปรับลดงบประมาณลงจากวาระแรก 8,920.7 ล้านบาท ก่อนนำไปจัดสรรให้ส่วนราชการตามที่ ครม. เสนอ 8,690.5 ล้านบาท และให้หน่วยงานของรัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ และอัยการ รวม 230.2 ล้านบาท ครั้งนี้ประชาชนคงสนใจติดตามการอภิปรายในส่วนงบกระทรวงกลาโหมกันมากที่สุด เพราะอยู่ในช่วงสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา เชื่อว่าประเภทเปิดหน้าท้าชน หนนี้จะไม่เป็นเช่นนั้น

ส่วนสถานการณ์ชายแดนหลังรัฐมนตรีกลาโหมสองประเทศ ลงนามข้อตกลงร่วมหยุดยิง 13 ข้อ หลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือจีบีซี ที่ประเทศมาเลเซีย แนวโน้มไม่ได้เหนือการคาดหมาย การปฏิเสธลงนามใน 2 ข้อเสนอจากฝ่ายไทยคือ การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่มีการปะทะและพื้นที่อื่น ๆ ตลอดแนวชายแดน และความร่วมมือในการปราบปรามอาชญกรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงออนไลน์ หรือสแกมเมอร์ มันย่อมสะท้อนถึงเจตนาคิดไม่ซื่อของอีกฝ่าย อยู่แล้ว

เหตุการณ์ทหารเหยียบกับระเบิดและต้องสูญเสียขา 2 นายเมื่อวันที่ 9 และ 12 สิงหาคม เป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า เขมรยังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่องและไม่ปฏิบัติตามกฎบัตรอันเป็นสากลใด ๆ แม้การวางทุ่นระเบิดจะไม่ใช่การปะทะซึ่งหน้า แต่นั่นเป็นการชี้ให้เห็นเจตนาของฝ่ายศัตรูที่ยังคงมุ่งปองร้าย ทำลายกำลังพลของกองทัพไทยไม่หยุด จึงเป็นเหตุให้กองทัพบกประกาศ หากสถานการณ์บีบบังคับอาจจำเป็นต้องใช้สิทธิ์ในการป้องกันตนเอง ภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ ในการคลี่คลายสถานการณ์ โดย พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ถึงขั้นบอกว่า เจรจาก็ว่ากันไป ทหารหน้างานไม่เกี่ยว

คงไม่ถึงขนาดที่ทหารไทยจะเปิดฉากโจมตีก่อน แต่เชื่อว่าต้องมีการเอาคืนที่สมน้ำสมเนื้อแน่ แล้วแต่ยุทธวิธี อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ถึงขั้นออกมากวักมือเรียก มาริษ เสงี่ยมพงศ์ รัฐมนตรีต่างประเทศ ต้องเดินสายชี้แจงนานาประเทศให้เห็นถึงพฤติกรรมอันโหดเหี้ยม ป่าเถื่อนของฝ่ายเขมร จะใช้ขั้นตอนทางการทูตแบบปกติไม่ได้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ฝ่ายกองทัพอยากจะให้เกิดขึ้นเหมือนกัน จะเป็นภาพที่รัฐบาลไทยเป็นฝ่ายรุกไล่ ไม่ใช่เอาแต่ตั้งรับจนทำให้เขมรได้ใจ เหิมเกริม เหมือนที่ผ่านมา

อรชุน

Back to top button