พาราสาวะถี

แทบจะเป็นปกติทุกครั้งเมื่อมีคดีสำคัญทางการเมือง ใกล้จะได้บทสรุป มักจะมีข่าวปล่อยในท่วงทำนอง กดดันกระบวนการพิจารณาขององค์กรที่จะตัดสินในคดีนั้น ๆ


แทบจะเป็นปกติทุกครั้งเมื่อมีคดีสำคัญทางการเมือง ใกล้จะได้บทสรุป มักจะมีข่าวปล่อยในท่วงทำนอง กดดันกระบวนการพิจารณาขององค์กรที่จะตัดสินในคดีนั้น ๆ คดีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยปมคลิปเสียงคุยกับ ฮุน เซน ของ แพทองธาร ชินวัตร หนีไม่พ้นขบวนการสร้างข่าวลักษณะนี้ กับล่าสุดที่มีข่าวว่า ประธานศาลรัฐธรรมนูญบินไปอินเดียพร้อมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 5 คน เพื่อไปรับเงินกันสด ถึงแดนภารตะ ว่ากันด้วยตัวเลขหลัก 100 กิโล กับ 5 กิโล

ถามว่าใครจะโง่ทำกันขนาดนั้น และยังบ้าที่ปล่อยให้คนจับได้ ดังนั้นหากพิจารณาข้อมูลแบบกลั่นกรองกันด้วยเหตุและผลแล้ว มองได้ว่าการสร้างประเด็นข่าวแบบนี้ เรื่องดิสเครดิตแพทองธารนั้นมันแหงอยู่แล้ว แต่เป้าประสงค์คงเป็นการกดดันกระบวนการพิจารณาของศาลก่อนนำไปสู่การวินิจฉัย เพราะ หากนายกรัฐมนตรีหญิงรอด ก็จะทำให้สังคมเกิดข้อกังขาว่ามีลับลมคมในหรือเปล่า นี่เป็นวิธีสามานย์ที่ใช้กันมาตั้งแต่ปลุกกระแสสร้างความเกลียดชัง จนประเทศเกิดความแตกแยกในห้วงเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา

พวกที่หลับหูหลับตาเชื่อคงไม่มีประโยชน์ในการอธิบาย ทั้งที่ความจริงสถานการณ์การเมืองและบ้านเมืองมันเดินมาถึงจุดนี้แล้ว เหล่าขาประจำ พวกที่มีส่วนทำให้บ้านเมืองถูกแช่แข็งและไม่สามารถเดินหน้าอย่างที่ควรจะเป็น ยังคงไม่ละความพยายามที่จะทำให้เกิดภาวะชะงักงัน หรือติดหล่มเหมือนที่ผ่านมา ต้องดูกันว่าสิ่งที่ถูกเรียกนิติสงครามจะหวั่นไหวต่อแรงกดดันที่สร้างขึ้น หรือ จะปลดล็อกการถูกดูถูกดูแคลนว่าเป็นเครื่องมือของอำนาจเผด็จการในอดีต แล้วนำพาผู้คนให้เชื่อมั่นในหลักนิติธรรมได้หรือไม่

ที่คู่ขนานกันมากับข่าวปล่อยดังกล่าว หนีไม่พ้น ปมการลาออกจากเก้าอี้ผู้นำประเทศของแพทองธาร ทำให้บรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทยพากันดาหน้าออกมาปฏิเสธ ซึ่งความจริงก็คือ ไม่จำเป็นต้องชี้แจงแถลงไขใด ๆ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามวิถี 21 สิงหาคมนี้ อุ๊งอิ๊งเดินทางไปชี้แจงต่อศาลตามการนัดไต่สวน พร้อมเลขาธิการ สมช. จากนั้นก็ปล่อยให้กระบวนการทำงาน แล้วก็ไปลุ้นกันวันชี้ชะตา 29 สิงหาคม ยิ่งเต้นตามยิ่งทำให้ภาพของพรรคแกนนำและรัฐบาลสั่นไหวโดยไร้ประโยชน์

เป็นที่น่าสังเกตว่า มีการโหมประโคมข่าวเพื่อพุ่งเป้าให้คดีของแพทองธารเป็นไปตามที่ต้องการมากเป็นพิเศษ โดยไม่มีการพูดถึงคดีชั้น 14 ของ ทักษิณ ชินวัตร นั่นเป็นเพราะหากคดีแรกนายกฯ หญิงไม่รอด มันก็จะง่ายต่อการปลุกกระแสเคลื่อนไหวล้มรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องมองไปถึงคดีที่สอง เพราะพวกขาประจำมีความเชื่อว่า ถ้าคดีแรกร่วง คดีที่สองก็ไม่น่าเหลือ ดังนั้นจึงต้องทำทุกทางเพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถสอยลูกสาวนายใหญ่ได้ การเมืองโสมมก็จะเล่นกันแบบนี้

เวลานี้ไม่เพียงแต่กลุ่มเคลื่อนไหวขาประจำเท่านั้น หากยังมี พรรคการเมืองที่เริ่มเข้าตาจนร่วมผสมโรงด้วย จากที่เคยคิดว่าได้รับการอุ้มสมจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างเต็มที่ แต่พอเพื่อไทยปรับตัวไม่สุดโต่งกับพวกอนุรักษ์นิยมเหมือนที่ผ่านมา มิหนำซ้ำ ยังทำท่าว่า จะได้รับการโปรดปรานกว่าคนที่เคยอยู่มาก่อน จึงต้องหาทางห้ำหั่นช่วงชิงสิ่งที่เคยได้กลับคืนมา ทว่าพอสแกนไปยังพรรคร่วมรัฐบาลที่จับมือกันอยู่เวลานี้ ดูเหมือนว่าน่าจะเจอโจทย์ยาก เพราะ คนเหล่านั้นต่างพร้อมใจรังเกียจพรรคการเมืองดังว่าเช่นกัน

เป็นผลมาจากการชูคอ กอบโกย เอาแต่ได้ จากการกุมความได้เปรียบที่อาศัยกลไกจากเผด็จการสืบทอดอำนาจมาสร้างมูลค่าให้กับตัวเอง จนมองไม่เห็นหัวเพื่อนร่วมรัฐบาลตั้งแต่ยุคขบวนการอยู่ยาว จนมาถึงรัฐบาลพลิกขั้ว เมื่อหลุดพ้นวงโคจรแห่งอำนาจ ย่อมเป็นจังหวะของการสหบาทาช่วยกันส่งให้พรรคดังกล่าวได้ไปทำหน้าที่ฝ่ายค้านกันยาว ๆ นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ผู้มีอำนาจบริหารจัดการรัฐบาลปัจจุบัน มั่นใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังสามารถเดินกันต่อไปได้ มองไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าโน่นแล้ว

จะมองว่าเป็นความโชคดีบนความโชคร้ายก็ว่าได้ เหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา ถือเป็นตัวช่วยทำให้แรงกดดันทางการเมืองที่พุ่งเป้าไปหาแพทองธารและเพื่อไทยเบาบางลงไป คนไทยส่วนใหญ่ต่างใจจดจ่อกับการเอาใจช่วยกองทัพในการต่อกรกับเขมร แม้สถานการณ์วันนี้จะอยู่ระหว่างการหยุดยิง แต่ด้วยความเจ้าเล่ห์ และไม่มีเครดิตให้น่าเชื่อถือของอีกฝ่าย จึงทำให้ผู้คนยังคงติดตาม และเทน้ำหนักไปยังเรื่องนี้มากกว่าที่จะสนใจข่าวการเมือง

เหมือนที่บอกว่าเรื่องบ้านเมืองใหญ่กว่าการเมือง ความหน้าด้านของฝ่ายเขมร ยังคงมีให้เห็นต่อเนื่อง ล่าสุด ตีมึนแถลงข่าวบอกอีกว่าพื้นที่ที่ทหารไทยเดินเหยียบทุ่นระเบิดจนขาขาดไปถึง 5 นายนั้น เป็นเขตสนามรบเก่าช่วงสงครามในอดีต และยังคงมีทุ่นระเบิดจำนวนมาก ซึ่งยังไม่ได้รับการกวาดล้างอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะบริเวณแนวเขตแดน ทำให้ พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ตอบโต้ทันควัน นี่เป็นการโกหกหน้าตายโดยปราศจากข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง

ถ้อยแถลงของฝั่งเขมร สะท้อนความสับสน ย้อนแย้งกับท่าทีของตัวเอง เพราะปฏิเสธที่จะร่วมกับฝ่ายไทยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด หากเป็นของเก่ายิ่งต้องรีบตอบรับเพื่อทำการเก็บกู้ให้หมดไป จุดสังเกตสำคัญคือมีเพียงฝ่ายทหารไทยเท่านั้นที่เป็นผู้ประสบเหตุถูกทำร้ายด้วยทุ่นระเบิด และทุกครั้งที่เกิดเหตุก็เป็นพื้นที่ที่ฝ่ายไทยใช้ลาดตระเวนอยู่เป็นประจำมาเป็นแรมปี จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นทุ่นระเบิดตกค้างจากสงครามในอดีตตามที่กัมพูชากล่าวอ้าง

ที่สำคัญที่สุด จากการเก็บกู้ทุ่นระเบิดจากสงครามในอดีต โดย TMAC ของไทยที่ผ่านมา ไม่เคยมีการพบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 มาก่อน ซึ่ง ทุ่นระเบิดชนิดนี้ถือเป็นทุ่นระเบิดรุ่นใหม่ แตกต่างจากที่เคยพบในอดีตอย่างชัดเจน ลักษณะการวางทุ่นระเบิดก็สอดคล้องกับหลักทางยุทธวิธี ทุกเหตุการณ์จะอยู่บริเวณด้านหน้าของแนวการวางกำลังของฝ่ายกัมพูชา และมักพบว่ามีการนำกลุ่มทุ่นระเบิดมาวางติดตั้งใกล้ ๆ กันอย่างเป็นระบบ เมื่อเก็บกู้ขึ้นมาแล้วเห็นได้ชัดว่ายังมีสภาพใหม่ ผิวด้านข้างมีตัวเลขและตัวอักษรกำกับอยู่ในสภาพคมชัด อ่านได้ง่าย ที่สุดแล้วแม้นานาชาติจะเห็นตามไทยก็เชื่อว่าสองพ่อลูกตระกูลฮุนก็จะหน้าด้าน ต่อไป

อรชุน

Back to top button