หุ้นไทยกับ ‘ธุรกิจครอบครัว’

วานนี้ดัชนีหุ้นไทยปิดบวกเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน เริ่มจากวันที่ 1 ก.ย. บวก 7.87 จุด ปิดที่ 1,244.48 จุด วันที่ 2 ก.ย. บวก  4.30 จุด ปิดที่ 1,248.78 จุด และวันที่ 3 บวก 40.53 จุด ปิดที่ 1,259.31 จุด


วานนี้ดัชนีหุ้นไทยปิดบวกเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน

เริ่มจากวันที่ 1 ก.ย. บวก 7.87 จุด ปิดที่ 1,244.48 จุด

วันที่ 2 ก.ย. บวก  4.30 จุด ปิดที่ 1,248.78 จุด

และวันที่ 3 บวก 40.53 จุด ปิดที่ 1,259.31 จุด

การปิดบวกที่ว่านี้ ค่อนข้างสวนทางกับมุมมองของนักวิเคราะห์ นักลงทุนที่ต่างมองกันว่า ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ไม่มีความแน่นอน น่าจะทำให้หุ้นไทยไซด์เวย์ดาวน์ มากกว่าที่จะค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นมาแบบ 3 วันที่ผ่านมา

เมื่อเข้าไปดูกลุ่มนักลงทุนซื้อในช่วง 3 วัน

พบว่านักลงทุนสถาบันได้ซื้อสุทธิมาต่อเนื่องทั้ง 3 วัน ส่วนนักลงทุนต่างประเทศซื้อเมื่อวันที่ 1 ก.ย.จำนวน 633 ล้านบาทและวานนี้อีก 1,868 ล้านบาท

แล้วประเด็นที่ต้องจับตาคืออยู่ตรงไหน

คำตอบคือ เวลาการเมืองช่วงใกล้เลือกตั้งหรืออยู่ระหว่างเลือกตั้ง

เรามักจะเห็นหุ้น (หลายหุ้น) ที่มีการเคลื่อนไหวของราคาแบบแปลก ๆ จนเกิดการตั้งข้อสงสัยว่า ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเหล่านั้น จะสัมพันธ์กับการเลือกตั้งหรือไม่

แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแต่ข้อ “สงสัย”

หากดัชนีหุ้นไทย และราคาหุ้นที่ถูกตั้งข้อสงสัย ยังเคลื่อนไหวแบบแปลก ๆ

ไว้จะมาเขียนถึงอีกครั้ง

ส่วนวันนี้มีข้อมูลที่น่าสนใจจากตลาดหลักทรัพย์ฯ (ตลท.) เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่จัดเป็น “ธุรกิจครอบครัว”

ตลท.บอกว่าจากการศึกษาฐานข้อมูลบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็น “ธุรกิจครอบครัว” (family business) จากบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 จำนวน 850 บริษัท พบว่า

646 บริษัท จาก 850 บริษัท หรือ 76% ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่ทำการศึกษา จัดเป็น “ธุรกิจครอบครัว ซึ่งมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมคิดเป็น 50% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมทั้งตลาด 

บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวกระจายตัวในทุกหมวดธุรกิจ

ส่วนใหญ่อยู่ในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดพาณิชย์ หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมวดการแพทย์

และในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (กลุ่มบริการ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง)

ธุรกิจครอบครัวใช้กลไกตลาดหุ้นไทยในการระดมทุนเพื่อขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง

โดยพบว่า 84% ของบริษัทจดทะเบียนที่เข้าซื้อขายในช่วงปี 2558 ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2568 เป็นธุรกิจครอบครัว

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2558-2567) ธุรกิจครอบครัวอาศัยกลไกจากการระดมทุนในตลาดหุ้นไทยเป็น “แหล่งเงินทุน”เพื่อขยายกิจการ

โดย 264 บริษัทระดมทุนผ่านการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนครั้งแรก ด้วยมูลค่าระดมทุนครั้งแรกรวมกว่า 482,190 ล้านบาท หรือ 77% ของมูลค่า IPO ทั้งหมด

และในช่วงเวลาเดียวกัน

บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นไทยระดมทุนในตลาดรอง 108 บริษัท 410 ครั้ง ด้วยมูลค่าระดมทุนในตลาดรองรวมกว่า 351,131 ล้านบาท

ในปี 2567 บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวมีรายได้รวมสูงถึง 9 ล้านล้านบาท คิดเป็น 48.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และรวมจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลกว่า 126,035 ล้านบาท คิดเป็น 16.4% ของภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งระบบที่กรมสรรพากรจัดเก็บในปี 2567

บริษัทจดทะเบียนที่เป็นธุรกิจครอบครัวมีบทบาทสำคัญต่อการจ้างงานในประเทศ

โดยในปี 2567 บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัว 642 บริษัท มีพนักงานรวม 1.48 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.8% จากปี 2566 โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มบริการ

ทั้งหมดมีการจ้างพนักงานในสัดส่วนที่มากกว่า 80% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น ๆ

Back to top button