
ไร้อิสรภาพ..แต่ไม่สิ้นเสรีภาพ
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกลับไปรับโทษจำคุก 1 ปี
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกลับไปรับโทษจำคุก 1 ปี เนื่องจากศาลเห็นว่ากระบวนการส่งตัวนายทักษิณ ไปรักษาอาการป่วยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเตรียมส่งตัวนายทักษิณ เข้าเรือนจำกรุงเทพ
ทั้งนี้ศาลฯ ระบุว่า การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายและต้องอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ไม่ใช่เพียงการใช้อำนาจตามดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ แต่การส่งตัวนายทักษิณ ไปโรงพยาบาลตำรวจวันที่ 22 ส.ค. 66 เป็นการอ้างเหตุฉุกเฉิน ทั้งที่อาการป่วยสามารถรักษาได้ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และจำเลยยังมีส่วนร่วมตัดสินใจรักษาตัวเอง เช่น ปฏิเสธการผ่าตัดบางกรณี..ฯลฯ
โดยเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 66 มีพระบรมราชโองการอภัยโทษให้นายทักษิณ เหลือโทษจำคุก 1 ปี ตามกำหนดโทษตามคำพิพากษา ย่อมมีผลทำให้จำเลยได้รับการลดโทษและต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาต่อไปอีก 1 ปี นับแต่วันที่ 31 ส.ค. 66 แต่หามีผลทำให้การบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ สิ้นสุดลงไม่ เมื่อการบังคับโทษนายทักษิณ เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น กระบวนการบังคับโทษรวมทั้งการพักการลงโทษจึงไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่อาจนำเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมาหักเป็นวันคุมขังได้ นายทักษิณ จึงต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ
วันเดียวกันเพจเฟซบุ๊ก Thaksin Shinawatra (ส่วนของนายทักษิณ ชินวัตร) โพสต์ข้อความว่า พี่น้องประชาชนที่เคารพ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานอภัยลดโทษจำคุกแก่ผมคงเหลือเวลา 1 ปี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ ต่อทั้งตัวผม และครอบครัว ผมขอน้อมรับและพร้อมเข้าสู่กระบวนการตามคำพิพากษาในวันนี้ (9 ก.ย. 68)
ตลอดระยะเวลาของการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 2544-2549 ผมพยายามผลักดันทุกนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทย ให้พรรคการเมืองแข่งขันกันด้วยนโยบาย สร้างประชาธิปไตยที่กินได้จากผลงานของรัฐบาลที่ทำได้จริง ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจอย่างที่สุดในฐานะนักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชน
แม้ว่าทุกคดีจะเกิดขึ้นหลังการรัฐประหารรัฐบาลของผม เมื่อปี 2549 แต่วันนี้ผมขอมองไปข้างหน้า ให้ทุกอย่างที่ผ่านมามีข้อยุติ ทั้งการต่อสู้คดีตามกฎหมาย และความขัดแย้งใด ๆ อันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวข้องกับตัวผม
ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การสนับสนุนตลอดมาขอบคุณนักการเมือง สมาชิกพรรคเพื่อไทย และเพื่อนมิตรทั้งหลายที่เคียงข้างกัน ทั้งในยามสุขและยามยาก ผมตัดสินใจเลือกทางเดินนี้ เพื่อส่งกำลังใจให้ทุกคนเดินไปข้างหน้า ทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ด้วยอุดมการณ์และจิตวิญญาณที่เรามีร่วมกันมา จนกว่าจะถึงวันที่เราได้เดินร่วมทางกันอีกครั้ง
จากวันนี้ แม้ผมจะไร้อิสรภาพ แต่ยังมีเสรีภาพทางความคิดเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ผมจะรักษาความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อใช้เวลาในชีวิตที่เหลืออยู่ รับใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ แผ่นดินไทยและประชาชนคนไทย ไม่ว่าจะในสถานะใดนับจากนี้..ขอบคุณครับ…