
‘หนี้นอกระบบ’ กัดกินอนาคตไทย
“เศรษฐกิจไทยวันนี้” เสมือนคนป่วยด้วยโรคเรื้อรัง มานานหลายปี ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งให้ไทย “เติบโตช้า แข่งขันไม่ได้และเหลื่อมล้ำ” ซ้ำเติมด้วยการเมืองภายในประเทศ ที่ไร้เสถียรภาพ
“เศรษฐกิจไทยวันนี้” เสมือนคนป่วยด้วยโรคเรื้อรัง มานานหลายปี ทั้งปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งให้ไทย “เติบโตช้า แข่งขันไม่ได้และเหลื่อมล้ำ” ซ้ำเติมด้วยการเมืองภายในประเทศ ที่ไร้เสถียรภาพ บาดแผลเหล่านี้ยังไม่ทันรักษา มีพายุลูกใหม่ซัดเข้ามา นั่นคือภูมิทัศน์การค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงฉับพลัน แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่านั้น คือ พายุลูกนี้กำลังเปิดปากแผลเก่าที่ซ่อนอยู่ใต้พรมให้เห็นชัดขึ้น นั่นคือ “หนี้นอกระบบ” มะเร็งร้ายที่กัดกินรากฐานเศรษฐกิจและสังคมไทยมาอย่างยาวนาน
คนส่วนใหญ่อาจไม่เห็นภาพความน่าสะพรึงกลัวของหนี้นอกระบบอย่างแท้จริง ลองนึกภาพ ‘พี่สมชาย’ พ่อค้าแผงลอยที่ต้องพึ่งเงินกู้นอกระบบรายวัน เพื่อเป็นทุนหมุนเวียน เพียงเพราะไม่มีหลักฐานทางการเงินไปยื่นกู้ธนาคาร เขาคือหนึ่งในคนนับล้านที่ติดอยู่ในวงจรนี้ การศึกษาเชิงลึกของธนาคารกรุงไทยร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ พบว่า นิยามของหนี้นอกระบบที่คนทั่วไปเข้าใจนั้น เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง เมื่อรวมธุรกรรมทุกประเภทที่ต้องคืนเงินเข้าไปด้วย
“หนี้ครัวเรือนไทย” อาจทะยานเกิน 100% ของ GDP ที่น่าตกใจคือ หนี้เหล่านี้ไม่ได้ถูกใช้เพื่อการบริโภคฟุ่มเฟือยเป็นหลัก แต่ว่าเกือบ 70% ถูกนำไปใช้เพื่อดำเนินธุรกิจและผ่อนชำระยานพาหนะ มันคือเส้นเลือดหล่อเลี้ยงสุดท้ายของผู้ประกอบการรายย่อยที่ใช้ “ชดเชยการหมุนเงินไม่ทัน”
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนไทยกว่า 79% เลือกที่จะจ่ายดอกเบี้ยหนี้นอกระบบก่อนหนี้ในระบบ.!?
คำตอบที่ดูเรียบง่ายและเจ็บปวด เพราะมันคือ “ที่พึ่งสุดท้าย” ยามที่ใช้วงเงินนจากในระบบเต็มพิกัดแล้ว ทำให้หนี้นอกระบบคือทางรอดเดียวที่เข้าถึงง่ายและรวดเร็ว แม้ต้องแลกมาด้วยดอกเบี้ยที่สูงปกติ นี่คือสัญญาณเตือนว่าระบบการเงินที่เป็นอยู่มีช่องว่างมากขึ้น การแก้ปัญหาแบบเดิม ๆไม่สามารถเยียวยาบาดแผลนี้ได้อีกต่อไป
มุมมองของ “ผยง ศรีวณิช” กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย ย้ำว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเลิกมองปัญหาแบบแยกส่วนและหันมาสร้าง “พลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย” ผ่านแพลตฟอร์มความร่วมมืออย่าง Reinvent Thailand ที่ผนึกกำลังทั้งภาคเอกชน ภาคการเงินและภาครัฐ โดยมีภาคเอกชนเป็นหัวหอกในการขับเคลื่อนและที่สำคัญคือทุกฝ่ายต้องมีเป้าหมายและตัวชี้วัด (KPI) ร่วมกันเพื่อผลักดันให้เกิดผลลัพธ์จริง ไม่ใช่แค่การหารือที่จบลงบนแผ่นกระดาษ
สอดคล้องกับยุทธศาสตร์กรุงไทยในการใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเพื่อ Connect the Dots เชื่อมโยงทุกภาคส่วนในระบบนิเวศเศรษฐกิจเข้าด้วยกันอย่างครบวงจร หัวใจสำคัญคือการใช้นโยบายที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Policy) เพื่ออุดช่องว่างและสร้างแรงจูงใจที่ถูกต้อง
ทางออกสำหรับปัญหานี้ ไม่ได้อยู่ที่การไล่ปราบปรามเจ้าหนี้โดยตรง หากแต่เป็นการปฏิรูประบบการเงินเพื่อให้คนตัวเล็กสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างเป็นธรรม ซึ่งมีแนวทางสำคัญสองประการ
ประการแรกคือการ “ปลดล็อกด้วยข้อมูล” โดยจำเป็นต้องมีการสร้างฐานข้อมูล SME ที่มีความน่าเชื่อถือและนำ Digital Footprint จากธุรกรรมต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์เป็น Soft Collateral เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและสร้างความมั่นใจให้สถาบันการเงินกล้าปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
นี่คือการ Connect the Dots ที่นำข้อมูลจากทุกภาคส่วนมาเชื่อมโยงกันเพื่อสร้างโอกาสที่แท้จริง..
ประการที่สองคือ การ “สร้างความเป็นธรรมด้วยราคาสมดุลกับความเสี่ยง” หมายถึงการทลายกำแพงเพดานดอกเบี้ย แบบเหมาโหลและหันมาใช้การกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่สมดุลกับความเสี่ยงของผู้กู้แต่ละราย (Risk-Based Pricing) เพื่อเปิดทางให้สถาบันการเงินสามารถให้บริการกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นได้ ขณะที่ต้นทุนต่ำกว่าหนี้นอกระบบและช่วยดึงพวกเขาเข้าสู่ระบบเพื่อสร้างประวัติทางการเงินที่ดีในระยะยาว
มรสุมเศรษฐกิจครั้งนี้รุนแรงและท้าทาย แต่ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสซ่อนอยู่ นี่คือโอกาสครั้งสำคัญที่เราจะได้ ปฏิรูปโครงสร้างที่บิดเบี้ยวเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า อนาคตที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตอย่างยั่งยืนแข่งขันได้ และเป็นธรรมสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง วิกฤตครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่บททดสอบ แต่เป็นโอกาสที่เราจะทวงคืนอนาคตของเศรษฐกิจไทย กลับมาอยู่ในมือของเราเอง.!!
เล็กเซียวหงส์ (แทน)