
ธุรกิจสหรัฐตีตัวออกห่างจีน
ผลสำรวจสมาชิกหอการค้าอเมริกัน จากนครเซี่ยงไฮ้ของจีน กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า ธุรกิจสหรัฐฯ เกือบครึ่งหนึ่ง มีการเปลี่ยนเส้นทางการลงทุนจากจีน ไปสู่ภูมิภาคอื่น ๆ
ผลสำรวจสมาชิกหอการค้าอเมริกัน จากนครเซี่ยงไฮ้ของจีน กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า ธุรกิจสหรัฐฯ เกือบครึ่งหนึ่ง มีการเปลี่ยนเส้นทางการลงทุนจากจีน ไปสู่ภูมิภาคอื่น ๆ ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ถือเป็นตัวเลข สูงสุดเป็นประวัติการณ์เลยทีเดียว..!!
สำหรับการสำรวจดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ทวีความรุนแรงขึ้น และมีการผ่อนปรนภาษีบางรายการชั่วคราว ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งสหรัฐฯ และจีน ตกลงที่จะขยายเวลาสงบศึกทางการค้าออกไปอีก 90 วัน จนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน 2568
Eric Zheng ประธานแอมแชม เซี่ยงไฮ้ (AmCham Shanghai) ระบุว่า สำหรับบริษัท 90 วันสั้นเกินไป การวางแผนห่วงโซ่อุปทานนั้นต้องใช้เวลานานกว่านั้นมาก อย่างน้อยเราไม่จำเป็นต้องรับมือกับภาษีที่สูงขึ้นตอนนี้ แต่ปัญหายังไม่ได้หายไปไหน แต่ยังคงอยู่ต่อไป…ขณะที่เกือบ 65% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่า อัตราภาษีศุลกากรปัจจุบัน ส่งผลกระทบอย่างมากต่อพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการผลิต
โดยผู้ตอบแบบสำรวจมากถึง 47% ระบุว่า พวกเขาได้ย้ายการลงทุนที่วางแผนไว้สำหรับจีน ไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก ถือเป็นสัดส่วนสูงสุดนับตั้งแต่การสำรวจครั้งแรกที่ได้ถามคำถามเกี่ยวกับแผนการย้ายฐานการลงทุนออกจากจีน เมื่อปี 2560
“อนุทวีปอินเดีย” รวมถึง “บังกลาเทศ” เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับ 2 สำหรับการเปลี่ยนเส้นทางลงทุน ขณะที่สหรัฐอเมริกา และเม็กซิโก อยู่ในอันดับที่ 3 ร่วมกัน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ พยายามส่งเสริมให้ภาคธุรกิจทั้งหลาย นำฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ โดยทรัมป์ มีการวิพากษ์วิจารณ์แผนการของแอปเปิล (Apple) ที่จะขยายการผลิตในอินเดีย ทั้งนี้มีบริษัทไม่กี่แห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ประกาศการลงทุนในสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ
สำหรับสมาชิกของ AmCham Shanghai ได้แก่ Apple, Ford, Honeywell, Meta และ Tesla โดย Jeffrey Lehman ประธานกลุ่มธุรกิจ บ่งชี้ว่า สมาชิกทั้งหลายได้รับผลกระทบไม่เพียงแค่จากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีนเท่านั้น แต่รวมถึงภาษีตอบโต้ของรัฐบาลปักกิ่งด้วย เนื่องจากวัตถุดิบต่าง ๆ ที่จำเป็นในการผลิตสินค้ามักมาจากสหรัฐฯ
ขณะที่สถาบันปีเตอร์สันเพื่อเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ ระบุว่า ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บต่อสินค้าจีน อยู่ที่เกือบ 58% ขณะที่ภาษีศุลกากรของจีน ที่เรียกเก็บอยู่ที่ประมาณ 33% โดยอัตราภาษีศุลกากร อาจแตกต่างกันไปในแต่ละสินค้า
สำหรับผลการศึกษาของ AmCham Shanghai ระบุว่า การแข่งขันในตลาดภายในประเทศของจีน เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ขณะที่ความเชื่อมั่นเกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจในจีนช่วง 5 ปีข้างหน้า ลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยมีเพียง 28% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ที่ระบุว่า อัตรากำไรจากการดำเนินงานในจีนปี 2567 สูงกว่าธุรกิจทั่วโลก ขณะที่ 33% ระบุว่า ผลการดำเนินงานในจีน แย่ลงอย่างแท้จริง
ที่สำคัญบริษัทสหรัฐฯ หลายแห่งระบุว่า คู่แข่งในจีน มีความก้าวหน้ามากกว่าใน 6 จากทั้งหมด 8 ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเร็วในการนำสินค้าเข้าสู่ตลาดและการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ และประมาณ 41% จากผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่า บริษัทต่าง ๆในจีน มีความก้าวหน้ามากกว่าในการนำ AI มาใช้ โดยส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นเป็น 62% ในอุตสาหกรรมค้าปลีกและสินค้าผู้บริโภค..!!??