
พาราสาวะถี
ถูกต้องแล้วที่ อนุทิน ชาญวีรกูล จะยืนยันไม่เดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุผลไม่ทันวันแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา
ถูกต้องแล้วที่ อนุทิน ชาญวีรกูล จะยืนยันไม่เดินทางไปร่วมประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ที่จัดการประชุมไปจนถึงสิ้นเดือนนี้ ด้วยเหตุผลไม่ทันวันแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา หรืออีกนัยก็คือ ไม่ไปเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาร้องเรียนถอดถอนกันภายหลัง เพราะรัฐบาลยังไม่ได้แถลงนโยบายจึงยังไม่สามารถเริ่มทำงานได้ แม้ฝ่ายกฎหมายของพรรคภูมิใจไทย และกฤษฎีกาจะประสานเสียงชี้ว่า ไปได้กรณีมีเหตุจำเป็น
ความจำเป็นที่ว่านั่นก็คือ ต้องไปชี้แจงปมปัญหาเกี่ยวกับความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา หากเดินทางไปแล้วแค่ไปปราศรัย แสดงวิสัยทัศน์ก็ไม่น่าจะเข้าข่ายข้อยกเว้น ดังนั้น เลือกที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายข้าราชการประจำที่ดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว เป็นการป้องกันตัวเองที่ดีที่สุด เข้าใจได้ว่า ต่อให้ไปแล้วเกิดปัญหาก็คงไม่สามารถที่จะทำอะไรนายกรัฐมนตรีเส้นใหญ่ได้ กลไกนิติสงครามก็พร้อมที่จะโอบอุ้มกันอยู่แล้ว เป็นธรรมดาของรัฐบาลพลังวิเศษ
อย่างที่บอกไปว่า การทำ MOA ระหว่าง พรรคประชาชนกับอนุทิน เป็นเพียงพิธีกรรมเพื่อนำไปสู่การโหวตให้หัวหน้าพรรคสีน้ำเงินได้ขึ้นเป็นนายกฯ โดยสมบูรณ์เท่านั้น เรื่องนี้ไม่ใช่แต่ฝ่ายการเมืองที่สมประโยชน์ร่วมกันเท่านั้นที่รู้ข้อมูลตั้งแต่ก่อนวันชี้ชะตา แพทองธาร ชินวัตร บรรดาข้าราชการประจำ ระดับปลัดกระทรวงและอธิบดีของกระทรวงเกรดเอทั้งหลาย ต่างก็รับรู้ความเปลี่ยนแปลงนี้ดี มีการยกโขยงไปสวามิภักดิ์ต่อผู้มีอำนาจที่คุมพรรคสีน้ำเงินกันก่อนหน้าอุ๊งอิ๊งจะกระเด็นตกเก้าอี้เช่นกัน
ของพรรค์นี้ไม่มีอะไรที่ปิดมิดชิดอยู่แล้ว ไม่ต่างกับกรณีบรรดานักเลือกตั้งจากหลายพรรคการเมือง พากันแห่แหนไหลเข้าคอกพรรคสีน้ำเงิน ไม่ใช่เพราะการได้เป็นแกนนำรัฐบาลที่ทำให้กุมความได้เปรียบทางการเมืองในช่วงเลือกตั้งเท่านั้น หากแต่อำนาจ บารมีที่หนุนหลังเสี่ยหนูถือเป็นแรงดึงดูดสำคัญ ช่วยทำให้พวกที่ลังเลตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่แค่เพิ่งมาคุยกัน ทุกอย่างผ่านกระบวนการเจรจา ตกลงเงื่อนไขผลประโยชน์กันเรียบร้อยมาหลายเดือนแล้ว นับตั้งแต่ศาลรับเรื่องร้องถอดถอนแพทองธาร หรืออาจจะก่อนหน้านั้นเสียด้วยซ้ำ
ส่วนประเด็นที่ว่าเสี่ยหนูประกาศเสียงดังฟังชัด ระหว่างภูมิใจไทยกับเพื่อไทยไม่ใช่แค่รอยร้าว แต่มันแตกไปแล้ว ก็ไม่ใช่การชี้ขาดว่าอนาคตจะไม่สามารถร่วมงานกันได้ เพราะมีการออกตัวด้วยว่า ถึงเวลาค่อยมาว่ากันใหม่ ทางการเมืองมันขึ้นอยู่กับปัจจัย ณ เวลานั้น อันหมายถึงช่วงหลังการเลือกตั้ง หากพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน บวกกับพวกที่ยังมีสัญญาใจไว้กับพรรคนายใหญ่ รวบรวมเสียงข้างมากได้ ตรงนั้นก็ ไม่จำเป็นที่จะต้องง้อทั้งพรรคสีแดงและพรรคส้ม
ขณะที่การมองว่าโอกาสทำงานร่วมกันของพรรคส้มกับพรรคสีน้ำเงินในนามพรรคร่วมรัฐบาลคงไม่เกิดขึ้น ด้วยแนวคิด ทิศทางต่างกันอย่างสุดขั้วนั้น คงต้องคิดกันใหม่ เหตุถอดรหัสจากความคิดของผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคคนรุ่นใหม่ ไม่แยแสต่อปมรัฐบาลที่พรรคตัวเองยกมือหนุนจะเข้าไปเป้าปัญหาที่ดินเขากระโดงและฮั้วเลือกสว. ด้วยการบอกว่า ใครทำอะไรไว้คนก็จดจำ นั้น มันเป็นเหมือนการสมรู้ร่วมคิด หรือสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่า ต่อให้ถูกเบี้ยวข้อตกลงก็ไม่เป็นไร อาการมันชักแปลกแปร่งยังไงชอบกล
คงต้องติดตามเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อยู่ในเงื่อนไขของสองพรรค แค่ร่างที่เตรียมเสนอก็ เห็นจุดต่างชัดเจนแล้ว พรรคส้มเสนอวิธีการให้ได้มาทั้งคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ และสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยผ่านการเลือกของประชาชน แล้วจึงให้สมาชิกรัฐสภาเลือกเหลือตามจำนวนที่กำหนด ขณะที่ร่างของพรรคสีน้ำเงินคือให้มี ส.ส.ร. 77 คน จาก 77 จังหวัด โดยให้สมัครผ่านกกต. แล้วส่งรายชื่อมาให้สภาเลือกเหลือจังหวัดละ 1 คน
ดูเผินๆ จะเห็นว่าวิธีการแทบจะไม่ต่างกัน แต่หากพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว จะเห็นว่าไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย โดยแนวทางของ พรรคส้มนั้นให้ประชาชนเป็นผู้เลือกในเบื้องต้น จากนั้นสภาจึงมาเลือกเป็นขั้นตอนสุดท้ายเพื่อไม่ให้ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีนี้จะล็อกตัวบุคคลไม่ได้ แต่วิธีของพรรคสีน้ำเงินไม่ได้ผ่านการเลือกของประชาชน ให้สมัครกับ กกต.แต่ละจังหวัด แล้วส่งให้รัฐสภาเป็นผู้เลือก แน่นอนว่า ย่อมหนีไม่พ้นการล็อกเป้าหมาย ยิ่งพรรคกุมอำนาจและกำลังขยายฐาน สส. ผนึกเข้ากับเสียง สว.สายสีน้ำเงิน ลองนึกภาพตามว่า ส.ส.ร.ที่จะมาร่างรัฐธรรมนูญนั้นหน้าตาจะเป็นแบบไหน
หากเป็นไปในลักษณะนั้นก็เท่ากับว่า จะได้คนที่มาแก้รัฐธรรมนูญตามความประสงค์ของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ซึ่งคงไม่ทำให้ปัญหาจากรัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจถูกขจัดออกไป ในทางตรงข้ามอาจจะมีการไปเล่นแร่แปรธาตุให้เกิดความยุ่งยากเพิ่มขึ้นไปอีก ตรงนี้ถือเป็นหน้าที่ของพรรคประชาชนฐานะนั่งร้านของรัฐบาลปัจจุบันที่จะต้องคุยกับอนุทิน และพรรคสีน้ำเงิน รวมทั้ง สว. เสียงส่วนใหญ่ที่มีความผูกพันกับพรรคเนื้อหอมด้วย เอาให้ชัดจะแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย หรือเอื้อให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้ใช้เป็นเครื่องมือในการเกาะกุมอำนาจต่อไป
ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา จากปมเปิดด่านที่ทำท่าว่าจะสร้างความหนักใจให้กับอนุทิน จนต้องโยนให้เป็นอำนาจการตัดสินใจของฝ่ายกองทัพไปแล้วนั้น น่าจะไม่เป็นประเด็นที่กวนใจอีกแล้ว ล่าสุด ฮุน เซน คุยฟุ้งต่อให้ ปิดด่านเป็นร้อยปีเขมรก็ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ถ้าเช่นนั้นก็ ควรประกาศปิดด่านถาวรกันไปเลยในทุกจุด ส่วนที่เป็นพื้นที่อธิปไตยของไทยไม่ใช่พื้นที่อ้างสิทธิก็ผลักดันฝ่ายเขมรออกไปให้หมด ถ้าจะรบกันอีกรอบ เชื่อว่ากองทัพไทยน่าจะพร้อมโดยเฉพาะหากเปิดฉากทางฝั่งตะวันออกแถวอรัญประเทศ จะได้จัดการแหล่งสร้างรายได้มหาศาลของผู้นำเขมรให้สิ้นซากไปเสียที
อรชุน