
พาราสาวะถี
รอนับเวลาถอยหลังรัฐบาล 4 เดือนได้เลยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป หลังจากที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นำคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้นระหว่างวันที่ 29-30 กันยายนนี้
รอนับเวลาถอยหลังรัฐบาล 4 เดือนได้เลยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป หลังจากที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นำคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้นระหว่างวันที่ 29-30 กันยายนนี้ ไทม์ไลน์ในการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ คงเป็นไปตามที่นายกฯ หนูบอกไว้ไม่เกินสิ้นเดือนมกราคมปีหน้า เลือกตั้งอย่างช้าคงไม่เกินเดือนเมษายนปีเดียวกัน ทั้งนี้ การทำศึกใหญ่ตามตำราคงต้องให้บรรดาโหราจารย์ผู้ใกล้ชิดทั้งหลาย คำนวณฤกษ์ ดูดวงเพื่อเลือกตั้งใหม่แล้ว จะเป็นฝ่ายกำชัยชนะหรืออย่างน้อยก็แพ้แบบได้หายใจรดต้นคอ
ดูจากแนวโน้มการวางเป้าหมายพื้นที่ของพรรคภูมิใจไทยแล้ว ภาคใต้ขอให้ได้ สส.ไม่น้อยกว่า 30 ที่นั่ง ภาคอีสานเห็นการขยับตัว คงจะเน้นไปทางอีสานใต้บุรีรัมย์ของตายอยู่แล้ว จังหวัดอื่น ๆ ที่เหลือ ให้รอดูผู้แทนจากพรรคเพื่อไทยจะมีใครไขก๊อกเปลี่ยนสีเสื้อหรือไม่ ล่าสุด ชูวิทย์ กุ่ย พิทักษ์พรพัลลภ อดีตสส.อุบลราชธานี 10 สมัยได้ลาออกจากความเป็นสมาชิกพรรคนายใหญ่เป็นที่เรียบร้อย ปลายทางคงหนีไม่พ้นพรรคสีน้ำเงิน โดยให้ สุดารัตน์ พิทักษ์พรพัลลภ ที่เป็น สส.พรรคสีแดงอยู่เวลานี้ลงสมัคร
มีการคำนวณตัวเลขเบื้องต้นว่า จากจำนวน สส.ของภูมิใจไทยที่มีอยู่ปัจจุบัน 69 คน เมื่อมองจากการไหลเข้ามาของบรรดาอดีต สส.หลายพรรค และที่ยังไม่ได้แสดงตัวอีกจำนวนไม่น้อย ทำให้เชื่อกันว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าตัวเลขอาจจะกระโดดไปแตะถึงหลักร้อยที่นั่งได้ ไม่ขึ้นที่ 2 ก็จะมาที่ 3 เป็นแน่ และนั่นจะเป็นโจทย์ทางการเมืองที่สำคัญ หากสองอันดับแรกเป็นพรรคประชาชนกับเพื่อไทย พรรคสีน้ำเงินจะเลือกจับมือกับพรรคไหนเพื่อเป็นรัฐบาล
คำตอบแทบจะไม่ต้องคาดเดา แม้ว่าการได้ขึ้นเป็นนายกฯ ของเสี่ยหนูหนนี้ อาศัยพลังหนุนในสภาจากพรรคสีส้มก็ตาม แต่อย่าลืมว่าปัจจัยสำคัญที่เกื้อหนุนให้อนุทินสมหวังในตำแหน่งนั้น ไม่ใช่พรรคคนรุ่นใหม่ที่เดินเกมการเมืองแบบโบราณ ทว่า เป็นเรื่องของพลังวิเศษ ที่ทุกภาคส่วนแม้กระทั่งฝ่ายความมั่นคงยังเชื่อมั่น ไว้วางใจ พร้อมสนับสนุนหัวหน้าพรรคสีน้ำเงินแบบไม่ตะขิดตะขวงใจ โดยโจทย์ใหญ่ที่ต้องทำให้ได้ก่อนจะหวังไปถึงการกลับมายิ่งใหญ่อีกรอบคือ สร้างผลงานให้เป็นที่ปรากฏ
โครงการคนละครึ่งถือเป็นเรือธงของภูมิใจไทย การได้ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส มาเป็นรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ทำให้งานด้านการบริหารงบประมาณราบรื่น ทำได้เร็ว มากไปกว่านั้นบรรดานโยบายประชานิยมทั้งหลาย ทีมหลังบ้านของพรรคสีน้ำเงินมีการถอดแบบมาจากพรรคนายใหญ่ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคกันแล้ว เมื่อได้ เหล่าคนชั้นนำและเทคโนแครต ทั้งหลายมาร่วมงาน ยิ่งทำให้แปลงนโยบายเหล่านั้นไปสู่ภาคปฏิบัติได้ง่ายขึ้น
บางเรื่องอาจจะเกิดข้อกังขาว่า ทำไมรัฐบาลเพื่อไทยทำไม่ได้ แต่รัฐบาลนี้จะทำได้ ให้ไปดูตั้งแต่ยุครัฐบาลเผด็จการคสช.จนถึงรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจ หลายอย่างทำไม่ได้ต่างจากที่ยุค ทักษิณ ชินวัตร หรือรัฐบาลของพรรคในเครือข่ายทำ กลับไม่มีใครหน้าไหนไปยื่นร้ององค์กรที่เกี่ยวข้องให้ตรวจสอบ อาจจะมีก็เป็นเพียงแค่พิธีกรรม เพื่อไม่ทำให้เกิดข้อครหาแค่นั้น ปลายทางกระบวนการฝ่ายนิติสงครามก็จะปัดเป่าให้ทุกอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง
รัฐบาล 4 เดือนก็เหมือนกัน ต้องการจะเดินหน้าเรื่องไหนไม่ต้องห่วง สามารถขับเคลื่อนได้ทันที ยิ่งเป็นเรื่องข้อกฎหมายซึ่งรัฐบาลจากการเลือกตั้งหลังยุคเผด็จการสืบทอดอำนาจกังวลเสียงหนุนจาก สว. รัฐบาลพรรคภูมิใจไทยไม่มีปัญหาเรื่องนี้ ขอแค่เคลียร์เสียงหนุนจากสภาล่างให้เรียบร้อย ในชั้นของสภาสูงทุกอย่างจะผ่านฉลุย ไม่ใช่แค่ความเป็น สว.สายสีน้ำเงินเท่านั้น แต่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการใช้เสียงสนับสนุน ได้รับการดูแลอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
อย่างเดียวที่อนุทินต้องอาศัยกระทรวงการต่างประเทศ กับฝ่ายความมั่นคงโดยเฉพาะกองทัพ ช่วยประคับประคองและแก้ไขให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี นั่นก็คือ ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ช่วงวันหยุดที่ผ่านมาฝ่ายเขมรได้ยิงยั่วยุเข้ามาบริเวณพื้นที่ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี มีแผนที่จะให้ฝ่ายไทยตอบโต้ เพื่อตั้งกล้องเก็บภาพฟ้องคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวหรือไอโอทีที่อยู่ฝั่งกัมพูชา ถ้าแค่นั้นคงไม่เป็นปัญหา ทุกอย่างสามารถอธิบายกันได้ด้วยหลักฐานได้
แต่หากตั้งต้นด้วยการยั่วยุ แล้วเกิดความสูญเสียในแง่ของกำลังพลทางฝ่ายกองทัพคงนิ่งเฉยไม่ได้ ถ้ามีการเปิดฉากสู้รบอีกรอบ จะถือเป็นเรื่องใหญ่และงานงอกสำหรับรัฐบาล 4 เดือนกันเลยทีเดียว เริ่มมีปฏิกิริยาจากทหารชั้นผู้น้อยที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ไม่ใช่ฝ่ายไทยทำเป็นคนตัวใหญ่มีศักดิ์ศรี แต่ถูกคนตัวเล็กทำร้าย ย่ำยีอยู่ฝ่ายเดียว นั่นแสดงให้เห็นว่า เวลานี้กองกำลังแนวหน้าถูกสั่งการจากผู้บังคับบัญชาให้ใช้ความอดทนอย่างเต็มที่ ต้องอย่าลืมว่าคนเราความอดทนมีจำกัด
ยังมีความโชคดีอยู่บ้างที่ทางกองทัพอ่านยุทธวิธีของเขมรออก การใช้อาวุธยิงโจมตีในห้วงเวลากลางวัน ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางยุทธวิธี แต่แสดงถึงเจตนาชัดเจนที่จะยั่วยุให้ฝ่ายไทยตอบโต้ แต่ทางฝ่ายไทยยังคงควบคุมสถานการณ์ด้วยความสุขุม รอบคอบ และหลีกเลี่ยงการกระทำใด ๆ ที่จะตกเป็นประโยชน์ต่อการโฆษณาชวนเชื่อของอีกฝ่าย ซึ่งนั่นเป็นวิธีการที่ทำมาโดยตลอด แต่ไม่มีใครรู้ได้ว่า ผู้มีอำนาจฝั่งเขมรจะเกิดอาการหลอน แล้วสั่งการให้ปะทะเมื่อไหร่ ทุกการตัดสินใจต้องย้อนกลับไปตั้งต้นด้วยชุดข้อมูลที่ว่า เขมรไว้ใจไม่ได้ เว้นเสียแต่จะใช้คนประเภทเดียวกันไปคุยให้จบเรื่อง ซึ่งใกล้ตัวเสี่ยหนูมีคนประเภทนั้นอยู่
อรชุน