
พาราสาวะถี
หลังการแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภาไปแล้ว ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาล 4 เดือน ของ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่จะเริ่มนับหนึ่งเข้าสู่โหมดการทำงานอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้เป็นไป
หลังการแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภาไปแล้ว ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาล 4 เดือน ของ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่จะเริ่มนับหนึ่งเข้าสู่โหมดการทำงานอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้เป็นไป รวมทั้ง เริ่มนับถอยหลัง 120 วันของการยุบสภา แต่ยังเป็นการ เริ่มนับหนึ่งของการทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างจริงจัง ตามที่ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนประกาศในการอภิปรายนโยบายรัฐบาล ไม่ใช่นั่งร้านให้พรรคภูมิใจไทยอยู่ในอำนาจได้อย่างสุขสบายเหมือนที่ถูกจับตามอง
ขณะเดียวกัน ก็ถือเป็นการ เริ่มต้นของการที่จะได้เห็นความตั้งใจทั้งจากรัฐบาลและฝ่ายค้านในการเดินหน้ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเสี่ยหนูได้ประกาศแล้วว่า ถ้าตั้งใจก็สามารถทำได้ให้เสร็จภายในระยะเวลา 4 เดือน ถือเป็นบทพิสูจน์ แค่ราคาคุย หรือจริงใจ ตั้งใจจริง ทั้งนี้ เมื่อฟัง บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ ด้านกฎหมายที่ผู้นำรัฐบาลลงทุนดึงตัวมาเพื่อการนี้ ก็น่าเชื่อได้ว่า พอมีความหวังหากไม่เข้าอีหรอบที่เจ้าตัวเคยถูกเผด็จการคสช.ตบหน้าฉาดใหญ่ เมื่อคราวนั่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญแต่ถูกยกเลิก แล้วตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่มี มีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานแทน
สิ่งที่บวรศักดิ์ยืนยันผ่านที่ประชุมรัฐสภาก็คือ ในนโยบายรัฐบาลเขียนไว้ชัด รัฐบาลนี้จะสนับสนุนการจัดทำประชามติ และการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ โดยรับฟังเสียงประชาชนสร้างการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วนให้สอดคล้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และเพื่อธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั้งนี้ การจัดทำรัฐธรรมนูญนั้นไม่ได้ใช้คำว่าจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ รัฐบาลไม่ต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แต่สนับสนุนให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ประเด็นที่เกิดคำถามจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมคือ จะมีการแก้ไขในหมวด 1 และ 2 ว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่นั้น บวรศักดิ์ยืนยันชัดทำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะหากแตะจะมีปัญหาทันทีว่า ขัดรัฐธรรมนูญปัจจุบันหรือไม่ เพราะมาตรา 255 ระบุว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ จะกระทำมิได้
ที่ชัดเจนเช่นเดียวกันก็คือ เนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คงต้องรอ ส.ส.ร.ที่มาจากหมวด 15/1 จะเขียนอะไร ที่แน่ ๆคือ พรรคภูมิใจไทย และพรรคใหญ่อีกพรรคซึ่งหมายถึงเพื่อไทย จะไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 ส่วนเรื่องคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้าม รัฐธรรมนูญมาตรา 256 ระบุชัดว่า การจะแก้ลักษณะต้องห้ามต้องไปทำประชามติก่อน ดังนั้น เรื่องนี้รัฐบาลจะไม่แตะ ส่วนรัฐธรรมนูญใหม่ที่ทำโดย ส.ส.ร. จะแตะหรือไม่ต้องไปดูในขั้นตอนที่สองคือ การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม การทำประชามติที่จะเกิดขึ้นพร้อมกับการเลือกตั้งครั้งหน้านั้น ผู้มีสิทธิหย่อนบัตรจะได้รับบัตรถึง 4 ใบ ประกอบไปด้วย บัตรเลือก สส.เขต บัตรเลือก สส.บัญชีรายชื่อ บัตรการลงประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ และใบสุดท้ายเป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้จะเสนอให้ดำเนินการคือ บัตรที่จะสอบถามประชาชนว่าจะให้ยกเลิกข้อตกลงหรือเอ็มโอยูไทย–กัมพูชาหรือไม่ ตรงนี้ถือเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่อยากจะให้เกิดความชัดเจน เพราะที่ผ่านมามีการใช้เป็นประเด็นกล่าวหาโจมตีทางการเมืองกันมาตลอด
ส่วนเหตุผลที่ต้องทำประชามตินั้น มือกฎหมายของรัฐบาล 4 เดือนชี้แจงว่า เรื่องสำคัญแบบนี้กับประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลเฉพาะกิจไม่ควรตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ควรขอฉันทานุมัติจากประชาชน ถ้าประชาชนบอกเลิกก็ต้องเลิก แต่หากให้เก็บไว้รัฐบาลนี้ก็ต้องเก็บไว้ เพราะประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ความจริงไม่เกี่ยวกับรัฐบาลเฉพาะกิจควรหรือไม่ควรตัดสินใจเอง หากเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งโดยเฉพาะรัฐบาลเพื่อไทย ถ้าจะทำก็จะถูกฝ่ายต่อต้านหาเหตุเล่นงาน เรื่องแบบนี้บวรศักดิ์ย่อมรู้ดีเป็นที่สุด
การได้ผู้ช่ำชองทางกฎหมาย และมีแรงหนุนจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมเต็มที่มาช่วยงานก็ทำให้เสี่ยหนูสบายใจไปได้มาก การอธิบายแทนในปมที่เป็นประเด็นทางการเมืองเมื่อไม่มีภาพของความเป็นนักการเมือง ย่อมทำให้คนเชื่อว่าน่าจะเป็นความจริง แต่ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ เช่น กรณีการแต่งตั้งอธิบดีหลายกรมที่รัฐบาลรักษาการได้มีมติไปแล้ว เมื่อมีนายกฯ คนใหม่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องนำความกราบบังคมทูลโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ก็ต้องส่งเรื่องคืนมา ซึ่งบวรศักดิ์อ้างว่า อนุทินกำชับให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรียืนยันเรื่องการแต่งตั้งผู้บริหารที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลที่แล้วไปทุกตำแหน่งเกือบ 10 ตำแหน่ง
ต้องดูว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ เช่นเดียวกับกรณีที่มีความเป็นห่วงเรื่องการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ที่บวรศักดิ์ย้ำอย่างหนักแน่นว่า เมื่อเสี่ยหนูชวนมาร่วมรัฐบาล ตนได้ขอคำยืนยันไปว่าเรื่องไหนที่อยู่ในกระแสความสนใจของสังคมเวลานี้ ไม่ว่าจะเรื่องฮั้ว สว. ที่ดินเขากระโดง และเรื่องขององค์อิสระและกระบวนการยุติธรรม ขอให้ปล่อยไปตามกระบวนการที่ควรจะเป็น ซึ่งนายกฯ ก็รับปาก หากยึดมั่นใจสัญญา มีความเป็นสุภาพบุรุษคนก็จะเชื่อถือ แต่ก็อย่างที่บอกด้วยความที่เคยถูกหักหน้าอย่างรุนแรงมาแล้วเมื่อคราวร่างรัฐธรรมนูญให้เผด็จการ คสช. อดเป็นห่วงไม่ได้ว่ารองนายกฯ ฝ่ายกฎหมายจะถูกกระทำซ้ำรอยอีกหรือไม่
เรื่องเหล่านี้ถือว่าเล็กน้อย อนุทินน่าจะไม่ทำให้คนที่ตัวเองเชื้อเชิญมาต้องเสียหน้า เสียความรู้สึก เพราะยังมีปัญหาใหญ่ที่ต้องให้บวรศักดิ์ช่วยดูแลเป็นพิเศษนั่นก็คือ ประเด็นที่ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ จากประชาธิปัตย์ทักท้วง รัฐมนตรีบางตำแหน่งทำให้ ครม.ชุดนี้กระดำกระด่าง เชื่อว่านายกฯ คงรู้อยู่แก่ใจ ก่อนจะประชดประชัดว่า “นายแน่มาก” กล้าตั้งรัฐมนตรีที่รัฐบาลชุดที่แล้วยังไม่กล้าตั้ง เพราะไม่อยากเสี่ยงตามรอย เศรษฐา ทวีสิน แต่เมื่อตั้งมาแล้วต้องรับผิดชอบ นี่แหละที่ต้องอาศัยความช่ำชองของมือกฎหมายไปแก้ต่าง หากมีนักร้องไปยื่นให้เกิดการวินิจฉัยขึ้นมา
อรชุน