พาราสาวะถี

ประกาศกลางที่ประชุมรัฐสภาถือเป็นพันธสัญญาสำคัญ อนุทิน ชาญวีรกูล ลั่นจะ ยุบสภาวันที่ 31 มกราคม 2569


ประกาศกลางที่ประชุมรัฐสภาถือเป็นพันธสัญญาสำคัญ อนุทิน ชาญวีรกูล ลั่นจะ ยุบสภาวันที่ 31 มกราคม 2569 นั่นเท่ากับว่าถ้าจะต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ตามบทบัญญัติของกฎหมายคือภายใน 45-60 วัน ช้าสุด ประชาชนจะได้หย่อนบัตรไม่เกินวันที่ 31 มีนาคมหรือ 1 เมษายน แต่ทั้งสองวันเป็นวันธรรมดา ถ้าจะต้องเลือกตั้งวันอาทิตย์ นั่นหมายความว่า จะต้องจัดการเลือกตั้งวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนซึ่งตรงกับวันที่ 28 มีนาคมปีหน้า นั่นเอง

แต่ตามความเชื่อของเหล่านักเลือกตั้ง โดยเฉพาะจากฟากฝั่งของพวกอนุรักษ์นิยม จำเป็นต้องดูฤกษ์ยามที่จะทำศึกเพื่อหวังผล ประกอบกับความได้เปรียบในมิติของการกุมอำนาจ อาจจะมีการเลือกตั้งเร็วกว่าที่บอกไป แต่ยังไงก็จะไม่ช้าไปกว่านี้ถ้าทำตามสัญญาที่ได้บอกไว้ ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะทุกอย่างมันไม่อาจจะเดินหน้าต่อไปได้มากกว่านี้ ลากยาวไปก็เปล่าประโยชน์ สองเรื่องที่พรรคภูมิใจไทยหวังจากการขึ้นมาเป็นผู้นำของเสี่ยหนูคือ ทำคนละครึ่งให้สำเร็จ และเด็ดขาดกับการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา

ท่าทีขึงขังของอนุทินในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาคือ จะไม่มีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องกับเขมร ทุกอย่างทุกเรื่องจะต้องคุยกันแบบทางการเท่านั้น ปัญหาชายแดนเรื่องความมั่นคงต้องคุยกันระหว่างกองทัพ ส่วน ปัญหาทางการทูตก็ต้องใช้ช่องทางระหว่างประเทศที่มี พร้อมยกหาง สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ จะช่วยกอบกู้และปกป้องศักดิ์ศรีของประเทศไทยได้บนเวทีระดับประเทศ เห็นได้ชัดจากการไปกล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์คเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

จังหวะเคลื่อนแบบนี้ถือเป็นการดิสเครดิตเพื่อไทยไปในตัว เป็นการตอกย้ำภาพความสัมพันธ์ส่วนตัว จนเป็นเหตุทำให้ แพทองธาร ชินวัตร ต้องถูกเขี่ยตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไป การประกาศหนุนหลังกองทัพอย่างเต็มที่ พร้อมไฟเขียวให้ดำเนินการตอบโต้เขมรได้ทันทีหากมีการรุกล้ำอธิปไตยของประเทศ ถือเป็นเกมบังคับที่ต้องให้เดินแบบนี้ สวนทางกับท่าทีของพรรคนายใหญ่ที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะนี่คือ เกมที่วางกันไว้ ใช้กระแสรักชาติ สร้างคะแนนนิยม สมประโยชน์กันทุกฝ่ายในซีกอนุรักษ์นิยม

การเดินเส้นทางนี้ ฐานเสียงที่จะได้รับกลับมาของพรรคสีน้ำเงินก็คือ พวกสลิ่มกลับใจ พวกส้มเทียมที่หันไปสนับสนุนพรรคคนรุ่นใหม่ในช่วงการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เพราะไม่สมใจกับสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการ จึงหวังว่าเมื่อเปลี่ยนไปสนับสนุนพรรคการเมืองนี้แล้ว จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่พรรคพวกตัวเองต้องการ พอไม่เป็นเช่นนั้น ในทางกลับกันดูเหมือนว่าสิ่งนั้นกลับยิ่งจะเข้มแข็งมากกว่าเดิม จึงเลือกที่จะหันมาอยู่กับความเป็นจริง ด้วยการ หันหลังกลับอีกคำรบ

หนนี้พรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่เคยหนุนก่อนปันใจไปเชียร์พรรคสีส้ม ทั้งประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ แม้กระทั่งรวมไทยสร้างชาติ สภาพก็ง่อนแง่นตามกระแสความเปลี่ยนแปลง แต่แกนนำทั้งหลายต่างแสดงตัวชัดว่าจะย้ายคอกไปเข้าสังกัดพรรคสีน้ำเงิน นั่นจึงเป็นจุดที่ทำให้พวกม็อบมีเส้น สลิ่มกลับใจทั้งหลายตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และมองเห็นว่า น่าจะเป็นโอกาสที่พรรคของฝ่ายอนุรักษ์นิยมโดยแท้จะสามารถขับเคี่ยวกับพรรคที่อ้างว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยทั้งเพื่อไทยและประชาชนได้อย่างสูสี

ถามว่าสถานการณ์การเมืองต่อการเลือกตั้งครั้งหน้าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมขนาดไหน ต้องยอมรับความจริงกันว่า เปลี่ยนตั้งแต่พรรคสีส้มประกาศหนุนเสี่ยหนูเป็นนายกฯ ยิ่งได้ฟัง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคดังว่าชี้ทิศทางการเมืองหลังจากยุบสภา จะเป็นไปในรูปแบบเกิด การประนีประนอมครั้งใหญ่ หรือ Grand Compromise น่าจะบอกได้ว่าคงไม่เหลือความหวังอะไรสำหรับพวกที่เคยต่อสู้ร่วมอุดมการณ์กันมาแล้ว

ปุจฉาตัวโตคือ ประนีประนอมระหว่างใคร เรื่องอะไร เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมหรือผลประโยชน์ส่วนตัว เอาแค่คำพูดที่สวยหรู สองเรื่องที่บอกว่ามันมีโอกาสจบ การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่รู้จะหมู่หรือจ่า หน้าตาจะออกมาแบบไหน แก้ไขแล้วจะทำการเมืองให้มาสู่ความเป็นปกติได้จริงหรือไม่ เอาแค่ทุกพรรคคุยกันให้ได้ และหาแนวทางแก้ไขให้เป็นไปทิศทางเดียวกันยังยากเลย โดยเฉพาะจุดยึดโยงที่จะให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการ ต้องถามผู้นำของพรรคสีส้มว่า พรรคที่หนุนเห็นด้วยหรือไม่

ร่างที่นำเสนอต่อประธานรัฐสภาทั้ง 3 ฉบับเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจน ขณะที่ประเด็นที่ธนาธรบอกว่า เอาเพื่อนออกจากคุก นิรโทษกรรมให้หมดทุกคน จุดนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะเป้าหมายของพรรคสีส้มคือต้องนิรโทษกรรมให้นักโทษคดี 112 ทั้งหมด พรรคที่พกยี่ห้ออนุรักษ์นิยมเต็มตัวจะยอมอย่างนั้นหรือ สุดท้ายมันก็จะวกกลับไปถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับหมวด 1 และ 2 อยู่ดี แค่นี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่าวงเจรจา หรือเวทีประนีประนอมมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร มันไม่ง่ายเหมือนคุยกันหลังฉากอย่างกรณีการยกมือหนุนอนุทินนั่งนายกฯ รู้อยู่แก่ใจมีเงื่อนไข และปัจจัยใดบ้างเป็นตัวชี้ขาด

ฟากเพื่อไทย จังหวะนี้อยู่ในช่วงประเมินความเคลื่อนไหวของเหล่าบรรดาสมาชิกพรรคและ สส. โดยเฉพาะพวกนักเลือกตั้ง ที่พบว่ามีการแอบนัดหมายพูดคุยกับพวกใจถึงพึ่งได้ของฝ่ายกุมอำนาจ พร้อมข้อเสนออันงดงาม ส่วนน้อยจะเข้าไปสังกัดพรรคสีน้ำเงิน ส่วนใหญ่ปันใจให้กับพรรคมันคือแป้ง เพราะเป็นพวกครึ่งบกครึ่งน้ำ ที่สามารถเปลี่ยนสีเปลี่ยนข้างได้แบบไม่กระดาก เวลาไปอธิบายกับฐานเสียงในพื้นที่จะได้ไม่ลำบากใจ นายใหญ่ให้ทีมงานเก็บข้อมูลทั้งหมดอย่างละเอียด ก่อนจะให้ผู้มีบารมีที่ตัวเองมอบหมายประกาศลุยเต็มตัวหรือไม่ไม่เกิน 1 เดือนหลังจากนี้

อรชุน

Back to top button