พาราสาวะถี

ฟัง อนุทิน ชาญวีรกูล ยกหาง ไชยชนก ชิดชอบ ปมสินบนเดือนละ 40 ล้านบาท หรือปีละ 480 ล้านบาท จากแก๊งสแกมเมอร์แลกกับการไม่จับกุมเอาผิดขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะต้องกางปีกปกป้องเช่นนั้น


ฟัง อนุทิน ชาญวีรกูล ยกหาง ไชยชนก ชิดชอบ ปมสินบนเดือนละ 40 ล้านบาท หรือปีละ 480 ล้านบาท จากแก๊งสแกมเมอร์แลกกับการไม่จับกุมเอาผิดขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะต้องกางปีกปกป้องเช่นนั้น ขณะที่กระบวนการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมทำคือ การตั้งคณะกรรมการสอบ เรื่องนี้โดยมีปลัดกระทรวงดีอีเป็นประธาน เป็นการทำตามขั้นตอนที่ ไม่รู้ว่าจะแล้วเสร็จเมื่อไหร่ และหวังผลแบบไหน

ในเมื่อมีการพูดกลางที่ประชุมรัฐสภา มีคนติดต่อผ่านสมาชิกรัฐสภาซึ่งในที่นี้น่าจะหมายถึง สส.หรือ สว.จะติดสินบนรัฐมนตรี ความผิดได้สำเร็จแล้ว การปฏิเสธของไชยชนกถือว่าแสดงความกล้าหาญ แต่จะสง่างามกว่านี้ก็ต่อเมื่อไปดำเนินการฟ้องร้องหรือแจ้งความดำเนินคดีกับพวกสามานย์ เหล่านั้น เพราะมีพยานสำคัญคือสมาชิกรัฐสภาที่เจ้าตัวเอ่ยถึง หากจะคิดในทางเลวร้ายคือ กรณีที่มีการตอบรับข้อเสนอ บุคคลดังว่าก็คือนายหน้าที่ย่อมจะได้รับส่วนต่างด้วยเช่นกัน

เรื่องนี้รัฐมนตรีหนุ่มของพรรคสีน้ำเงินและเป็นหลานรักของเสี่ยหนูที่กล้าการันตีว่า เวลามั่นใจ และศึกษามาเยอะ อะไรก็เบรกไชยชนกไม่ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องตั้งคณะกรรมการมาสอบให้เสียเวลา เมื่อมีประจักษ์พยานก็ใช้กระบวนการยุติธรรมเอาผิดได้ทันที สิ่งที่ทำไปเหมือนกับ การซื้อเวลา ตีกรรเชียง เหมือนอย่างที่ รังสิมันต์ โรม สส.พรรคสีส้มว่า วิธีการที่รัฐมนตรีดีอีทำคือขั้นต่ำ ยังไม่มีไทม์ไลน์หรือเฮดไลน์ออกมาว่าจะมีบทสรุปออกมาอย่างไร ขนาดรัฐมนตรียังถูกซื้อ แล้วหน่วยงานอื่นจะถูกซื้อไปด้วยหรือไม่ จะมีการจ่ายสินบนในลักษณะเช่นนี้ด้วยหรือไม่

คำถามแบบนี้แทบจะไม่ต้องฟังคำตอบ อย่างไรก็ตาม ต้องยกนิ้วให้ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรัฐมนตรีวัฒนธรรม และอดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ที่ล่าสุด ได้ไปยื่นหนังสือร้องต่อป.ป.ช.พัทลุง เพื่อให้มีการไต่สวนรัฐมนตรีที่ออกมาปูดข้อมูลดังว่า ยื่นเองในฐานะประชาชน เพราะนักการเมืองโดยเฉพาะ สส.พูดกันไป – มา แต่ไม่มีใครเอาจริงกับเรื่องนี้ แม้แต่พรรคประชาชนที่ประกาศว่าถอยออกมาเป็นฝ่ายค้านแล้ว ก็วางใจไม่ได้ เพราะเป็นผู้สถาปนารัฐบาลนี้ขึ้นมาเอง จึงไม่รู้ว่าสถานะจริงๆ ของพรรคนี้คืออะไร

ถูกอย่างที่นิพิฏฐ์ว่า ทำเองดีกว่าในฐานะประชาชน แต่ก็ต้องรอดูองค์กรที่ตรวจสอบจะรับลูกไปดำเนินการต่อหรือไม่ จากที่เรียกร้องว่าให้ดำเนินการไต่สวนทันทีโดยไม่ต้องรอให้ใครไปร้อง เพราะเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจ เมื่อมีประชาชนไปร้องแบบนี้ก็ ต้องวัดใจว่า ป.ป.ช.จะทำยังไงกับเรื่องนี้ บอกแล้วว่า มันไม่ใช่การพูดเพื่อที่จะหวังดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม แต่นี่มันคือการกล่าวหาและมีผลโดยตรงกับคนที่ปูดข้อมูล เพราะความเป็นรัฐมนตรีต้องให้ข้อมูลที่เป็นจริงกับประชาชน ยิ่งเป็นเรื่องพวกติดสินบน อาจจะเรียกว่าโคตรชั่ว รัฐบาลคนดีย์ที่อนุทินประกาศว่าไม่มีวันโกง ยิ่งต้องกวาดล้างให้สิ้นซาก

จากความเป็นรัฐบาลที่ต้องทำอะไรให้แตกต่างจากยุคของ แพทองธาร ชินวัตร และด้วยความที่มีพรรคสีส้มเป็นนั่งร้านให้ จึงได้เห็นอนุทินเดินทางไปตอบกระทู้ถามสดของ สส.ในสภาด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพราะ ผู้ตั้งกระทู้ถามล้วนแต่เป็นกันเองทั้งสิ้น เรียกได้ว่าชงเองกินเอง นั่นเอง อย่างน้อยก็ทำให้เกิดการเปรียบเทียบว่า รัฐบาล 4 เดือนแถมเส้นใหญ่อีกต่างหาก ให้ความร่วมมือกับฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเต็มที่ ซึ่งคงจะทำให้พรรคที่ทำข้อตกลงร่วมกันพอใจ

ที่ต้องตามต่อไปคงเป็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาช่วงกลางเดือนนี้ 3 ร่างจาก 3 พรรค ส้ม น้ำเงิน แดง แทบไม่ต้องสงสัยถึงความเป็นไปได้ว่าจะมีการหยิบยกร่างไหนมาเป็นร่างหลักในการพิจารณาแก้ไข หากต้องอาศัยเสียงของ สว.เพื่อให้รับรองในวาระแรก และผ่านความเห็นชอบในวาระสาม ก็ต้องใช้ของพรรคแกนนำรัฐบาลเสียงข้างน้อย หากจะพิสูจน์ความจริงใจว่าจะได้รัฐธรรมนูญที่ลบล้างคราบไคลเผด็จการสืบทอดอำนาจ ต้องรวมสามร่างเข้าด้วย หรือจะเป็นสองฉบับของพรรคส้มกับน้ำเงินก็ได้

เห็นกันอยู่แล้วว่า ร่างของเพื่อไทยกับประชาชนมีจุดยึดโยงกับประชาชน ในเรื่องกระบวนการเลือก ส.ส.ร.หรือคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ แต่ของพรรคสีน้ำเงินไม่ได้เป็นเช่นนั้น แน่นอนว่า เมื่อมองไปยังฐานหนุนที่สำคัญ อันจะทำให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้าต่อไปได้คือ สว. ใครจะไปทำลายกลไกที่ทำให้เกิด สว. สายสีน้ำเงิน และเป็นรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์เป็นอย่างมากให้กับพรรคสายตรงของฝ่ายอนุรักษ์นิยม

ดังนั้น การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้น ถือเป็นอีกบททดสอบของพรรคสีส้มกับข้ออ้างของการอุ้มสมตัวแทนฝ่ายอนุรักษ์นิยมเข้าสู่อำนาจบริหารประเทศ เพื่อต้องการที่บรรลุเป้าหมายในการปรับปรุงกฎหมายสูงสุดที่เป็นมรดกของเผด็จการ คสช. จะดำเนินการกันอย่างแข็งขันด้วยหลักการ และวิธีการที่เคยนำเสนอมาก่อนหน้านี้หรือไม่ พอได้ฟังแนวคิดของผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคแล้ว ไม่น่าจะเป็นไปอย่างที่บรรดากองเชียร์คาดหวัง

เช่นเดียวกับการตั้งข้อสังเกตเรื่องทำประชามติช่วงเลือกตั้งที่มีปมยกเลิกเอ็มโอยู ไทย-กัมพูชาพ่วงเข้ามาด้วย หากสถานการณ์ชายแดนในเวลานั้นยังเข้มข้น ก็เป็นที่น่ากังวลว่า สุดท้ายแล้ว ประชาชนที่ไปหย่อนบัตรก็จะให้ความสนใจแค่สองเรื่องคือ เลือก สส.กับยกเลิกเอ็มโอยู และเห็นว่ายังไม่จำเป็นที่จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถึงตรงนั้นพรรคส้มจะไปเรียกร้องอะไรกับเอ็มโอเอที่เซ็นไว้กับพรรคสีน้ำเงิน จะว่าไปหลังได้รับอำนาจเห็นฤทธิ์เดชกันอยู่ โดยเฉพาะเรื่องดูดตัว สส.ต่างพรรค ทำไงได้ขนาดผู้นำทางจิตวิญญาณของตัวเองยังกล้าพูดหน้าตาเฉย ใครทำอะไรไว้ประชาชนจะจดจำเอง แบบนี้เท่ากับตัวใครตัวมันนั่นเอง

อรชุน

Back to top button