กัลฟ์ฯ กับ KBANK

หลังมีข่าวเรื่อง ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK ส่งหนังสือไปยังกัลฟ์ฯ (GULF) เพื่อขอความร่วมมือไม่ให้ขายหุ้นในช่วงที่กสิกรไทยขอซื้อหุ้นคืน


หลังมีข่าวเรื่อง ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK ส่งหนังสือไปยังกัลฟ์ฯ (GULF) เพื่อขอความร่วมมือไม่ให้ขายหุ้นในช่วงที่กสิกรไทยขอซื้อหุ้นคืน

ล่าสุดวานนี้ ได้สัมภาษณ์ “จงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ของ KBANK

สิ่งที่เขาอธิบายไว้ คือ “หนังสือ” ที่ว่านั้น ได้ส่งไปยังผู้ถือหุ้นใหญ่ทุกรายของธนาคารฯ

จึงไม่ใช่มีเฉพาะกัลฟ์ฯ เท่านั้น

แล้วหากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ต้องการขายหุ้นในช่วงเวลาซื้อหุ้นคืนของ KBANK ล่ะ?

เขาบอกว่า “สามารถที่จะดำเนินการได้” เพราะทางธนาคารฯ แค่ขอความร่วมมือ ไม่ได้มีข้อบังคับ หรือเกณฑ์ว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่นั้น ๆ ห้ามขาย

ส่วนกรณีของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการระบุเรื่องห้ามซื้อหุ้น (คืน) จากผู้ถือหุ้นรายใหญ่นั้น

ธุรกรรมตรงนี้ จะเป็นในรูปแบบการจับคู่ขายแบบเฉพาะเจาะจง เช่น ธนาคารฯ จะซื้อจาก A , B หรือ C แบบนี้ทำไม่ได้ รวมถึงห้ามซื้อจากกรรมการ ผู้บริหาร พนักงาน ซึ่งจะมีเกณฑ์ระบุไว้ชัดเจน

เมื่อมีคำถามอีกว่า หากในช่วงของการซื้อหุ้นคืนของธนาคารฯ แล้วเกิดไป “แมทช์” กับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่วางขายพอดี

ตรงนี้มีคำอธิบายว่า จะเหมือนกับการซื้อขายหุ้นทั่ว ๆ ไป

เพราะเวลาเราตั้งซื้อ (Bid) เราก็ไม่ทราบว่าฝั่งขาย (Offer) มีใครบ้าง เราไม่สามารถรับทราบได้

มีการสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราคารับซื้อด้วย เพราะสูงกว่าราคาตลาดฯ ( ณ ขนะนั้น) อยู่พอสมควร ทำให้ราคาหุ้น KBANK วิ่งร้อนแรง

คุณจงรัก บอกว่า ธนาคารไม่ได้กำหนดราคาว่าจะซื้อเท่าไหร่ คือ… ไม่สามารถที่จะนำเงิน 8.8 พันล้านบาท(วงเงินซื้อหุ้นคืน) มาหารกับจำนวนหุ้นได้

ดังนั้น ราคาที่ธนาคารฯ ขอซื้อหุ้นคืน อาจจะต่ำกว่าราคาตามที่เป็นข่าว (185.50 บาท) ก็ได้

ล่าสุด ผมเข้าไปดูข้อมูลการถือหุ้นของกัลฟ์ฯ ใน KBANK

ณ วันที่ 14 ต.ค. 68 กัลฟ์ฯ มีสัดส่วนการถือครองหุ้นคิดเป็น 5.0288% หรือประมาณ 110 ล้านหุ้น

หากนำ 110 ล้านหุ้นมาคูณกับราคาหุ้น KBANK ที่ปิดวานนี้ 187.50 บาท เท่ากับว่า มูลค่าหุ้นของ KBANK ที่กัลฟ์ฯ ถือหุ้นอยู่ จะประมาณ 2.06 หมื่นล้านบาท

แน่นอนว่าไม่มีใครทราบต้นทุนของกัลฟ์ฯ ที่เข้ามาซื้อหุ้น KBANK

แต่เชื่อว่า ต้นทุนหรือราคาที่กัลฟ์ฯ ทยอยเข้ามาซื้อ น่าจะต่ำกว่าราคาปัจจุบันค่อนข้างมาก

ผ่านมาจนถึงวันนี้ ไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริงของการเข้ามาซื้อหุ้น KBANK ของกัลฟ์ฯ แต่หากดูการชี้แจงล่าสุดของกัลฟ์ฯ วานนี้มีการระบุว่า

“การลงทุนในหุ้นของธนาคารมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่บริษัทและผู้ถือหุ้นของบริษัท โดยไม่ได้มีการแต่งตั้งตัวแทนเข้าเป็นกรรมการหรือฝ่ายบริหารของธนาคารฯ และไม่ได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการหรือกำหนดนโยบายของธนาคารฯ รวมถึงนโยบายการซื้อหุ้นคืน”

นี่คือหนังสือของกัลฟ์ฯ ที่ชี้แจงการเข้าถือหุ้น KBANK

พร้อมกับการขอสงวนสิทธิ์เกี่ยวกับธุรกิจการซื้อขายของ KBANK ไว้ และจะดำเนินการการภายใต้เกณฑ์ของหน่วยงานกำกับที่มีการวางกรอบไว้

การถือหุ้นของกัลฟ์ฯ นอกจากจะถูกจับตาจากนักลงทุนในตลาดหุ้น บุคคลในแวดวงการเงินแล้ว

กลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่อื่น ๆ ของ KBANK ทั้งที่ปรากฏรายชื่อ และไม่ปรากฏรายชื่อ ต่างเฝ้าจับตาด้วยเช่นกัน พร้อมกับอาจจะมีตั้งคำถามว่า “กัลฟ์ฯจะซื้อหุ้นเพิ่มหรือไม่”

ส่วนบรรดานักวิเคราะห์ต่างมีมุมมองของการซื้อหุ้นคืนที่แตกต่างกันไว้

นักวิเคราะห์บางส่วนตั้งคำถามว่า KBANK มาซื้อหุ้นคืนในช่วงราคาหุ้นถีบตัวสูงขึ้น ซึ่งแตกต่างจากหลายหุ้นที่จะขอซื้อหุ้นคืนในช่วงที่ราคาหุ้นตัวเองปรับลง

ทว่าทฤษฎีของซื้อหุ้นคืนในช่วงราคาหุ้นตัวเองลง ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป เพราะบริบท หรือเป้าหมายของแต่ละหุ้นอาจจะแตกต่างกันไปในการบริหารสภาพคล่องที่ตนเองมีอยู่

นักวิเคราะห์อีกบางส่วนมองว่า KBANK อาจจะต้องยกระดับราคาหุ้นให้สูงขึ้น

แต่แน่นอนว่า การขอซื้อหุ้นคืน จะทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับอัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend yield) สูงขึ้น

Back to top button