ห้ามหลุด 1,275 จุด

วานนี้เป็นวันที่สองที่ดัชนีหลุดจากระดับ 1,300 จุด หลังจากก่อนหน้านี้ ดัชนีหุ้นไทยขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,300 จุดได้ 8 วัน (22 ต.ค. 68-3 พ.ย. 68)


วานนี้เป็นวันที่สองที่ดัชนีหลุดจากระดับ 1,300 จุด

หลังจากก่อนหน้านี้ ดัชนีหุ้นไทยขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,300 จุดได้ 8 วัน (22 ต.ค. 68-3 พ.ย. 68)

ดัชนีที่ระดับ 1,300 จุด ว่ากันว่าเป็นแนวรับ “จิตวิทยา” เท่านั้น ดังนั้น ยังมีโอกาสที่จะม้วนกลับขึ้นมายืนเหนือระดับดังกล่าวได้อีกหากพิจารณาในด้านสัญญาณทางเทคนิค

ถามว่าแนวรับทางเทคนิคที่ดัชนีห้ามหลุดอยู่บริเวณใด

คำตอบ คือ ระหว่าง  1,275-1,265 จุด

หากดัชนีหลุดจากแนวรับดังกล่าว มีการวิเคราะห์จากนักวิเคราะห์สายเทคนิคว่า จะทำให้โอกาสที่ดัชนีกลับขึ้นมายืนเหนือ 1,300 จุด เป็นไปได้ค่อนข้างยาก

หากอ้างอิงจากรอบการปรับฐานล่าสุดของหุ้นไทย พบว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์

ส่วนรอบพักฐานที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ อาจจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ด้วยเช่นกัน หรืออาจจะมากกว่า น้อยกว่าได้เล็กน้อย

ประเด็นที่น่าสนใจคือ ดัชนีฯ ที่ลงมา 2 วันติดต่อกันนั้น ในช่วงวันแรกไม่ได้เกิดจากหุ้น บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA เพราะวันก่อนหน้านี้ที่ดัชนีฯ ร่วลงปิดลบ 10.26 จุด แต่หุ้นเดลต้าฯ ปิดในแดนบวก หรือ +1.00 บาท (ปิด 222.00 บาท)

ส่วนวานนี้ดัชนีปิดลบ 3.31 จุด หุ้นเดลต้าฯ มีส่วนต่อการกดดัชนี 3 จุด ที่เหลือจากมาจากหุ้นในกลุ่มธนาคารฯ ที่ถูกขายทำกำไรออกมานำโดยแบงก์กสิกรไทย หรือ KBANK, เอสซีบี เอกซ์ (SCB) และแบงก์กรุงไทย (KTB)

ส่วนดัชนีวานนี้ลงไปลึกสุด -15.47 จุด หลัก ๆ มาจากหุ้นเดลต้าฯ ที่ราคาช่วงเปิดตลาดภาคเช้า ดิ่งลงมาถึง 211.00 บาท หรือลดลง 12.00 บาท จากราคาปิดวันก่อนหน้า ก่อนที่จะมีการเข้ามาไล่ซื้อกลับ ทำให้ดัชนีดีดกลับตามขึ้นมาด้วย

และยังมีแรงซื้อเข้ามายังหุ้น บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) หุ้น บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น(TRUE)

รวมถึงหุ้นโรงไฟฟ้า เช่น กัลฟ์ฯ (GULF), บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) และ บมจ.ราช กรุ๊ป หรือ RATCH

ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญกับความผันผวนค่อนข้างสูง เรามักจะเห็นคำแนะนำของบรรดานักวิเคราะห์ให้เลือกเทรดหุ้นแบบ “รายตัว” หรือหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวจริง ๆ 

เช่น ในช่วงนี้ที่ประกาศงบการเงินไตรมาส 3/68 จะแนะนำเก็งกำไรหุ้นที่ยังไม่ได้แจ้งงบ แล้วแนวโน้มจะออกมาดี

หรือหากเป็นหุ้นที่แจ้งงบฯ ไตรมาส 3/68 ออกมาแล้ว ยังสามารถเติบโตในด้านของกำไรสุทธิต่อไปได้อีกในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ก็จะถูกแนะนำให้เข้าเทรดหุ้นเหล่านั้น

อย่างเช่นวานนี้ ในหลายหุ้นที่มีการไล่ราคาหลังถูกมองว่า งบไตรมาส 3/68 จะออกมาดี

หรือหันซ้าย หันขวา ตัดสินใจไม่ถูก

หุ้นในกลุ่มธนาคาร เป็นอีกกลุ่มที่ถูกแนะนำให้ “เล่นรอบ” ได้เช่นกัน ทั้ง KBANK (แนวรับ 178.00 บาท), KTB (แนวรับ 39.75 บาท) หุ้นมีดาวไซด์จำกัด เพราะจะขึ้น XD วันที่ 14 พ.ย.นี้ ปันผล 0.43 บาทต่อหุ้น 

เช่นเดียวกับ SCB รอบราคาในการเล่นจะอยู่ระหว่าง 128.00-132.00 บาท

ขณะที่วานนี้ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการสรุปหุ้นไทยประจำเดือนต.ค. 68 ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,309.50 จุด เพิ่มขึ้น 2.8% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า

กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด คือ กลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มการเงิน ได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัย ทั้งกำไรกลุ่มธนาคารที่ดีกว่าคาด มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของรัฐ

รวมถึงตัวเลขการส่งออกและนักท่องเที่ยวที่สูงกว่าประมาณการ

มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และตลาด mai อยู่ที่ 39,473 ล้านบาท ลดลง 27.9% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน

ส่งผลให้ในช่วง 10 เดือนแรกของปี มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันอยู่ที่ 42,659 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 4,496 ล้านบาท ในเดือนต.ค. ทำให้ยอดขายสุทธิตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนต.ค. อยู่ที่ 100,739 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการซื้อขายสูงสุดในตลาดที่ 51.81% ของมูลค่าการซื้อขายรวม

รองลงมาคือผู้ลงทุนรายย่อยในประเทศ 31.80%

นักลงทุนสถาบันในประเทศ 9.77%

และบริษัทหลักทรัพย์ 6.62%

มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดและการประเมินมูลค่าหุ้น พบว่า Forward P/E ของตลาดอยู่ที่ 12.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นในเอเชียที่ 14.6 เท่า ขณะที่ Historical P/E อยู่ที่ 16.7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่ 17.0 เท่า

ส่วนอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ณ สิ้นเดือนตุลาคม อยู่ที่ 3.76% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นในเอเชียที่ 2.96% บ่งชี้ถึงศักยภาพการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงกว่าหลายประเทศในภูมิภาค

ดูข้อมูลที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ บอกมาล่าสุดแบบนี้แล้ว

หุ้นไทยไม่ควรหลุด 1,275 จุด

Back to top button