หุ้นน้ำตาลขมคอ.!?

ทำเอา 4 หุ้นน้ำตาล นำโดย KSL, KTIS, KBS และ BRR เกิดอาการขมคอไปตาม ๆ กัน..!! หลังเกิดข่าวใหญ่สะเทือนอุตสาหกรรมน้ำตาลของไทย


ทำเอา 4 หุ้นน้ำตาล นำโดยบริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL, บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS, บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ KBS และบริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BRR เกิดอาการขมคอไปตาม ๆ กัน..!!

หลังเกิดข่าวใหญ่สะเทือนอุตสาหกรรมน้ำตาลของไทย เมื่อจีนสั่งระงับนำเข้าน้ำเชื่อมจากไทย หลังหน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารส่งออก-นำเข้าของจีน (The Food Safety Bureau of The General Administration of Customs of The People’s Republic of China: GACC) ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจโรงงานผู้ประกอบการผลิตส่งออกรวม 10 บริษัทในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ปรากฏผลการตรวจโรงงานทั้ง 10 แห่งไม่มีโรงงานใดผ่านการรับรองและผ่านการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ GACC เลย

ที่จริงจีนเริ่มสั่งแบนนำเข้าน้ำเชื่อมจากไทย 2 รายการ ได้แก่ น้ำเชื่อม (Syrup) พิกัด 170290110 กับน้ำตาลผสมล่วงหน้า (Premixed Powder) พิกัด 1702901200 เป็นการชั่วคราวมาตั้งแต่วันที่ 10 ธ.ค. 2567 พร้อมแนะนำฝ่ายไทยให้ดำเนินการประเมินและตรวจสอบระบบบริหารและจัดการความปลอดภัยของโรงงานไทย 

กระทั่งผลการตรวจสอบของ GACC ครั้งล่าสุด ก็ยังไม่มีโรงงานไหนผ่านการรับรองและผ่านการตรวจสอบแต่อย่างใด ส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยไม่สามารถส่งออกน้ำเชื่อมและน้ำตาลผสมทุกพิกัดไปยังประเทศจีนได้ นับจากวันที่ 27 ต.ค. 2568 เป็นต้นไป

แน่นอนว่า ผู้ส่งออกไทยย่อมได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ ซึ่งมีข้อมูลจากสมาคมอุตสาหกรรมน้ำตาลแปรรูปไทย ระบุว่า สมาชิกสมาคมทั้ง 47 รายเดือดร้อนมาก และหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป ผู้ผลิตส่งออกน้ำเชื่อม-น้ำตาลผสมคงต้องปิดโรงงานแน่นอน อาจจะเหลือแค่ 3-5 โรงงานเท่านั้น 

แล้วไหนจะเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่จะได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งในช่วงระหว่างเดือน ธ.ค.-เม.ย. จะเป็นช่วงเปิดหีบของโรงงานน้ำตาล

ไม่นับรวมมูลค่าทางเศรษฐกิจที่จะเสียหายตามมาอีกนะ…

ถ้าถามว่าตลาดจีนมีความสำคัญกับโรงงานน้ำตาลไทยมากขนาดไหน..?? 

ก็ต้องบอกว่า ไทยเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ไปประเทศจีน โดยเฉพาะน้ำตาลแปรรูป เช่น น้ำเชื่อม ซึ่งไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่ง มีมูลค่าการส่งออกสูงถึงกว่า 31,358.58 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา หรือคิดเป็นสัดส่วน 86.88% ของการนำเข้าน้ำตาลแปรรูปทั้งหมดของจีนจากทั่วโลกเลยก็ว่าได้…

ซึ่งนอกจากน้ำเชื่อมแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ที่ไทยส่งออกไปประเทศจีน เช่น น้ำผึ้งเทียม คาราเมล หรือสารให้ความหวานอื่น ๆ ที่ใช้ในการประกอบอาหารและเครื่องดื่ม โดยในปีที่ผ่านมา มูลค่าการนำเข้าน้ำตาลแปรรูปของจีนจากไทยสูงถึง 853.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก

เรียกว่ากำลังไปได้สวยเชียว…เป็นตลาดที่กำลังเติบโต แต่ดันมาโดนสกัดดาวรุ่งซะงั้น…

หลายคนอาจจะแย้งว่า ไม่เห็นจะยาก ถ้าจีนไม่ซื้อน้ำเชื่อมไทย งั้นเราก็ไปขายประเทศอื่นสิ…ไม่เห็นจะต้องง้อจีนเลย 

โอเค…คิดได้ แต่การลงมือกระทำคงไม่ง่ายเหมือนคิดหรอก…เชื่อซิ

ว่าแต่เรื่องคอขาดบาดตายขนาดนี้ นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ว่าไงเนี่ย..?? คงต้องรีบ action สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาโดยด่วนแล้วล่ะ..?? ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้

ถ้ารัฐบาลชุดนี้ทำสำเร็จ ก็จะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงเลยนะ และคงได้ใจภาคเอกชนและเกษตรกรชาวไร่อ้อยไปเต็ม ๆ…

กลับมาที่ 4 หุ้นน้ำตาล ถ้าจะบอกว่าไม่ได้รับผลกระทบเลย…อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ อยู่ที่ว่าใครจะได้รับผลกระทบมากหรือน้อย…ก็ว่ากันไป..?? 

แหม๊…ปีนี้อุตส่าห์ได้อานิสงส์จากราคาตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นจากการจำกัดการส่งออกของอินเดียอยู่แท้ ๆ ดันมีเรื่องจีนแบนนำเข้าน้ำเชื่อมจากไทยมากวนใจซะงั้น…ส่วนที่เห็นหุ้นน้ำตาลไม่หือไม่อือต่อข่าวนี้ สงสัยนักลงทุนเมินหุ้นกลุ่มนี้ไปเสียแล้วละมั้ง..?? 

แต่ท่ามกลางข่าวร้ายของหุ้นกลุ่มน้ำตาล กลับเป็นจิตวิทยาเชิงบวกกับหุ้นกลุ่มเครื่องดื่มอย่างบริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE  และบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP จากราคาน้ำตาลที่อาจปรับตัวลดลง

เอาเป็นว่าจะเลือกช้อปหุ้นกลุ่มไหน..?? หรือหุ้นตัวไหน..??

ก็ดูตาม้าตาเรือกันหน่อยละกัน…

…อิ อิ อิ…

Back to top button