พาราสาวะถี

ไม่ได้เหนือความคาดหมาย เมื่ออำนาจเปลี่ยนมือเรื่องความผิดในคดีมาตรา 112 ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่อัยการสูงสุดยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาลจากการยกฟ้อง


ไม่ได้เหนือความคาดหมาย เมื่ออำนาจเปลี่ยนมือเรื่องความผิดในคดีมาตรา 112 ของ ทักษิณ ชินวัตร ที่อัยการสูงสุดยื่นอุทธรณ์คำตัดสินของศาลจากการยกฟ้องนั้น มองเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกเหนือจากการ สกัดไม่ให้นายใหญ่ได้ก้าวขาออกจากคุกก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า กรณีนี้จะส่งผลดีกับพรรคการเมืองไหนก็รู้กันอยู่ ใครที่บอกว่าไม่ได้เข้ามาสู่อำนาจเพื่อเล่นเกมการเมือง หรือใช้วิธีการสกปรกเล่นงานคู่แข่ง ก็คิดกันเอาเองว่าเป็นอย่างที่ได้พ่นน้ำลายออกมาหรือไม่

เป็นไปอย่างที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ชี้ ทักษิณที่เวลานี้ที่ถูกจองจำจากโทษจำคุก 1 ปี หรือ 12 เดือน เมื่อรับโทษครบกำหนด 1 ใน 3 คือ 4 เดือน สามารถยื่นขอพักโทษกรณีพิเศษสำหรับผู้มีอายุเกิน 70 ปี อันเป็นระเบียบปกติของกรมราชทัณฑ์ โดยต้องผ่านคณะกรรมการพิจารณาพักโทษ และต้องอนุมัติโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แต่หากนักโทษรายใดยังมีคดีต่อ เช่น ทักษิณอัยการยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา112 จะไม่ได้รับการพิจารณา เพราะถือว่ามีคดีต่อไม่สามารถยื่นเรื่องขอพักโทษได้

ในฐานะอดีตนักโทษชูวิทย์ย่อมรู้ดีถึงกระบวนการ ขั้นตอนในเรื่องนี้ ดังนั้น นี่ จึงเป็นแผนสกัดไม่ให้ทักษิณออกจากคุกก่อนเลือกตั้ง ต้องตีตั๋วอยู่ยาวชนป้ายครบ 1 ปี ถูกต้องอย่างที่อดีตเจ้าพ่ออ่างว่า มันโหดร้ายนะประเทศไทย เอาอิสรภาพของคนมาจำกัดเพราะอำนาจการเมือง ส่วนพรรคที่เป็นแกนนำรัฐบาลนั้น ไม่ต้องสาธยายสรรพคุณ เพราะกำลังใช้พลังที่หนุนหลังแสดงอำนาจบารมีอย่างเต็มที่ โดย คนหนึ่งจะแสดงบทบาทว่าเป็นสุภาพบุรุษทางการเมือง พูดยกหางให้ตัวเองดูดี ขณะที่ กุนซือผู้อยู่เบื้องหลัง แวดวงต่างรู้ดีว่าถนัดใช้วิธีโสมม และความสามานย์จัดการกับฝ่ายตรงข้ามได้เลือดเย็นขนาดไหน

ขบวนการนิติสงครามอันเป็นอาวุธอำมหิตของขบวนการอยู่ยาว ยังคงทำงานกันเป็นระบบ อาศัยต้นทุนทางสังคม และข้อกำหนดทางกฎหมายที่ปิดปากไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์ได้ จัดการกับฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะกับนายใหญ่และคนในเครือข่ายระบอบทักษิณ เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ จึงน่าสนใจต่อแนวโน้ม และทิศทางของพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างยิ่ง การถูกบีบด้วยปัจจัยต่างๆ อาจทำให้เกิดความระส่ำระสายต่อการตัดสินใจของสมาชิกและสส.ของพรรค

จากนี้ไปคงจะได้เห็นภาพ การทยอยย้ายคอก ไปเข้าค่ายสีน้ำเงินอยู่เรื่อยๆ โดยจะเป็นไปในลักษณะของการเจาะรายตัว ไล่ล่ารายเขต ยื่นข้อเสนอจนยากปฏิเสธ ประเภทที่ว่าจะแยกตัวไปตั้งพรรคใหม่ ในภาวะการเมืองเช่นนี้มีแต่เสียเวลาเปล่า ขณะเดียวกัน ส่วนใหญ่ยังรอประเมินท่าทีของคนตระกูลชินวัตร ยังจะเต็มร้อยกับการเดินหน้าพรรคหรือไม่ ยิ่งการถูกศาลฎีกาตัดสินให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปจากนายใหญ่อีกกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท ย่อมส่งผลกระทบในทางการเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้

นั่นจึงทำให้เห็นภาพความคึกคักของพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันที่ดูมีความมั่นอกมั่นใจ จะสามารถเพิ่มเสียง สส.ในสภาได้ หนีไม่พ้นวิธีการดูด ยิ่งพรรคที่แกนนำถนัดแจกกล้วยมาตั้งแต่ยุคเผด็จการสืบทอดอำนาจ ยังคงใช้ความใจถึงดึงบรรดานักเลือกตั้งเสือหิวทั้งหลายเข้าพรรคอย่างต่อเนื่อง ภาพการเมืองแบบนี้จึงยากที่จะเห็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพหลังการเลือกตั้ง นั่นจึง อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้นายใหญ่ไม่ทุ่มทุนสู้เต็มที่ อาศัยจังหวะนี้รอดูความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น

ในทางกลับกันการทำแค่ประคองตัว ให้ได้ สส.ในระดับร้อยเสียงขึ้นไป ยังอาจจะช่วยให้พลิกเกมอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจต่อรอง ได้มากกว่าการเป็นแกนนำรัฐบาลเสียด้วยซ้ำ ประเภทไก่เห็นตีนงูย่อมรู้ดีว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นกับการเมืองปัจจุบัน รัฐบาล 4 เดือนถ้าไม่กำไรคงไม่มีใครโง่เอาตัวเข้ามาเสี่ยงขนาดนั้น เช่นเดียวกัน เมื่อเข้ามาแล้วย่อมมองไปถึงความเป็นไปได้ในการที่จะกลับมาเป็นแกนนำของฝ่ายบริหารอีกในรอบหน้าจะได้สวาปามกันให้เต็มคราบ

ความเป็นจริงทางการเมืองมาถึงตอนนี้ อนุทิน ชาญวีรกูล พร้อมผู้สนับสนุนและฝ่ายอนุรักษ์นิยม ย่อมรู้ดีว่าอยู่ในฐานะฝ่ายกุมความได้เปรียบ มองข้ามความน่ากลัวของพรรคเพื่อไทยกันไปแล้ว และไม่ได้หวาดหวั่นต่อกระแสของพรรคสีส้มอีกต่อไป เพราะ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ก็ยอมรับว่า ผลพวงจากการทำตัวเป็นฝ่ายค้ำนั้น คือ การยอมแลกความนิยมทางการเมืองของตัวเองเพื่อเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ในเชิงหลักการไม่มีใครเถียงว่า สิ่งที่พรรคส้มตัดสินใจด้วยเหตุผลต้องการแก้ไขระบบที่ทำให้การเมืองไร้เสถียรภาพดีขึ้น เพราะถ้าไม่แก้ระบบให้ดี ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลอีกกี่สมัย ถ้าศาลรัฐธรรมนูญปลดนายกรัฐมนตรีได้โดยง่าย ก็ไม่มีทางที่จะนำนโยบายที่มีการนำเสนอไปทำต่อได้ และ ถ้าไม่ริเริ่มกระบวนการในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหาใหญ่ของประเทศได้ แต่ในความเป็นจริงภายใต้กลไกที่เป็นอยู่ มันจะสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้จริงอย่างที่พรรค (เคย) สุดโต่งต้องการอย่างนั้นหรือ

กระบวนการตามแผนของพรรคสีส้มดูเหมือนว่าจะได้ผล จากการที่อนุทินสั่งให้รัฐบาลแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการพร้อมเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อยู่ในชั้นพิจารณาของคณะกรรมาธิการ สามารถผลักดันให้ผ่านสภาได้ทันทั้งวาระ 2 และ 3 หรืออาจเรียกได้ว่า กระบวนการทุกอย่างจบจนสามารถนำไปสู่การทำประชามติพร้อมการเลือกตั้งได้ ซึ่งต้องไปตามกันต่อหลังมีรัฐบาลใหม่ ทุกอย่างจะราบรื่น เรียบร้อยได้หรือไม่ เพราะเมื่อถึงเวลานั้นถือว่าข้อตกลงหรือเอ็มโอเอได้สิ้นสุดไปแล้ว และ สว.ที่ได้ชื่อว่าสายสีน้ำเงินก็ยังอยู่พร้อมหน้า ที่คิดว่าใช่อาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดก็เป็นได้

อรชุน

Back to top button