AI ดาบสองคมกระบวนยุติธรรม

บนโลกยุคดิจิทัลเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) แม้ว่าจะมีประโยชน์มากมาย ทำให้องค์กรภาครัฐและเอกชน เปิดประตูใช้งานนวัตกรรม AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น


บนโลกยุคดิจิทัลเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) แม้ว่าจะมีประโยชน์มากมาย ทำให้องค์กรภาครัฐและเอกชน เปิดประตูใช้งานนวัตกรรม AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ท่ามกลางข้อถกเถียงกันว่า AI เปรียบเสมือนดาบสองคม และมีความเสี่ยงกับการนำมาใช้งานกระบวนการยุติธรรมหรือไม่.!?

ล่าสุด…ศาลแพ่ง ออก “ข้อกำหนดของศาลแพ่งว่าด้วยการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ในการจัดทำคำคู่ความหรือเอกสารอื่นใดที่ยื่นต่อศาล พ.ศ. 2568” เพื่อให้สอดคล้องกับ “หลักความโปร่งใส” และ “หลักการเปิดเผย” ตาม “คำแนะนำของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการปฏิบัติงานคดี”

ด้วยเหตุจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีปัจจุบัน ทำให้ผู้มีความสามารถนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการจัดทำคำคู่ความหรือเอกสารยื่นต่อศาลได้อย่างต่อเนื่อง หรือบำบัด ข้อดีได้จากการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการจัดทำคำคู่ความหรือเอกสารนั้น อันอาจให้เกิดความเสียหายและกระทบต่อความเชื่อมั่นศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม

ประกอบกับระเบียบศาลศาลฎีกา ออกข้อกำหนดของศาลยุติธรรม ว่าด้วยการบริหารงานของศาลยุติธรรมเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการจัดทำ พ.ศ. 2566

สาระสำคัญของข้อกำหนดดังกล่าว อยู่ที่ข้อ 3 นั่นคือ..

คู่ความต้องเปิดเผยให้ศาลทราบว่าใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ในการจัดทำคำคู่ความและเอกสาร หรือมีส่วนในข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย ที่ได้มาจากการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ก่อนยื่นต่อศาล เพื่อความโปร่งใส โดยให้ระบุไว้ท้ายคำคู่ความหรือเอกสารยื่นต่อศาลนั้น ว่าด้วยการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ศาลมีอำนาจสั่งให้คู่ความเปิดเผยรายละเอียดของการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการจัดทำคำคู่ความและเอกสารได้ หากศาลเห็นว่า คำคู่ความหรือเอกสารยื่นต่อศาลให้ระบุข้อความว่า “เอกสารนี้จัดทำขึ้นด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์”

คำคู่ความหรือเอกสารที่มีเนื้อหา ซึ่งจัดทำโดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรืออ่านเนื้อหาส่วนใด ที่ได้มาจากการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ในส่วนท้ายของคำคู่ความหรือเอกสารดังกล่าว คู่ความต้องรับรองเนื้อหาโดยระบุข้อความ ดังต่อไปนี้

“ข้อความบางส่วนใน….(ชื่อเอกสาร) ฉบับนี้จัดทำขึ้นโดยอาศัยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และข้าพเจ้าได้ตรวจสอบ และรับรองความถูกต้องของข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายก่อนยื่นต่อศาลแล้ว”

อย่างไรก็ดีมีรายงานว่า ขณะนี้ศาลทั่วโลก กำลังเผชิญปัญหาหลังมีการนำ AI มาใช้ในการช่วยร่างเขียนคำฟ้อง คำร้อง คำขอและคำแถลง เพื่อยื่นต่อศาล เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านอัลกอรึทึม ข้อมูลอาจมีความลำเอียง มีปริมาณน้อย ไม่หลากหลาย แต่งานด้านกฎหมายหรือการพิจารณาคดี ต้องอาศัยหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า AI มีความถูกต้อง และเชื่อถือได้

บทความเรื่องข้อจำกัดของการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในระบบงานตุลาการ (The Limited Use of the Artificial Intelligence in Judicial System ) เล่มที่ 1 ปี 2567 เขียนโดยดร.ไกรพล อรัญรัตน์ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดนครราชสีมา ระบุว่า ก่อนปี 2565 ระบบตุลาการของประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก ยังมิได้รับผลกระทบจาก AI หรือเทคโนโลยีดิจิทัล ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ (Disruptive Technologies) แต่ประเทศฝรั่งเศส ได้ผ่านกฎหมายเมื่อปี 2562 ห้ามมิให้นำ AI มาใช้เพื่อคาดการณ์ผลการดำเนินคดีโดยเด็ดขาด.!!

ขณะที่จีนกลับเลือกดำเนินแนวทางที่แตกต่างออกไปอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ แทนที่จะจำกัดการใช้ AI ในกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลจีนกลับเห็นว่า AI เป็นเครื่องมือสำคัญ ในการเร่งรัดความทันสมัยของระบบศาลให้สอดรับกับยุคดิจิทัล โดยจีนมีแรงจูงใจเฉพาะการนำ AI เข้ามาเสริมสร้างความทันสมัยของระบบยุติธรรม ทั้งด้านการยกระดับประสิทธิภาพและการเพิ่มความน่าเชื่อถือของกระบวนการตุลาการ

โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญ คือ ปัญหาการขาดแคลนผู้พิพากษาอย่างต่อเนื่อง ความอ่อนแอของภาพลักษณ์ศาล และความจำเป็นในการปฏิรูประบบยุติธรรมให้ทันสมัย เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของจำนวนคดี ช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่ปี 2530 จำนวนคดีเพิ่มขึ้นกว่า 30 เท่า ขณะที่จำนวนผู้พิพากษาเพิ่มขึ้นเพียง 3 เท่าในปี 2558

ประกอบกับปี 2557 ศาลประชาชนสูงสุด (Supreme People’s Court–SPC) ได้กำหนดมาตรการประเมินผู้พิพากษาอย่างเข้มงวดและจำกัดจำนวนผู้มีสิทธิพิจารณาคดีไว้เพียง 39% ของบุคลากรศาลทั้งหมด เป็นผลให้ปี 2560 จำนวนผู้พิพากษาลดลงถึง 49% เหลือประมาณ 120,000 คน จากจำนวนกว่า 200,000 คน

จึงน่าสนใจว่าการนำเทคโนโลยี AI มาช่วยในการทำงานเพื่อลดสำนวนค้างคาในกระบวนการยุติธรรม อาจไม่ใช่เรื่องผิด แต่ว่าการพินิจหรือรู้จักนำมาใช้..อันนี้เป็น “หัวใจสำคัญ” มากกว่า เพราะอย่าลืมว่า AI อาจเป็นทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์…ได้เช่นกัน!?

Back to top button