
รายย่อยผู้ค้ำตลาด
วานนี้ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,252 จุด หากนำไปเทียบกับสิ้นปี 2567 (30 ธ.ค.) ดัชนีปิดที่ 1,384 จุด หรือเท่ากับว่า จากสิ้นปี 67 มาจนถึงวานนี้ (24 พ.ย.) หุ้นไทยลงมาประมาณ 9.53%
วานนี้ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,252 จุด
หากนำไปเทียบกับสิ้นปี 2567 (30 ธ.ค.) ดัชนีปิดที่ 1,384 จุด หรือเท่ากับว่า จากสิ้นปี 67 มาจนถึงวานนี้ (24 พ.ย.) หุ้นไทยลงมาประมาณ 9.53%
แรงกดดันของดัชนีมาจากการเทขายอย่างหนักของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ
ล่าสุด ต่างชาติขายหุ้นไทยในปี 2568 ออกมาแล้วกว่า 113,128 ล้านบาท
และยังไม่มีท่าทีว่าจะ “เพลาการขาย” แต่อย่างใดโดยเฉพาะในเดือนพ.ย. 68นี้ ขายค่อนข้างหนักมาก
เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบัน ที่ทางการพยายามฝากผีฝากไข้ ให้สถาบัน หรือกองทุนต่าง ๆ ซื้อหุ้นไทยให้มากขึ้น แต่ที่ไหนได้ กลับขายตามต่างชาติออกมาแล้ว 25,648 ล้านบาท
ส่วนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิเช่นกัน 15,803 ล้านบาท
มีเพียงนักลงทุนรายย่อยที่ซื้อสุทธิ 154,580 ล้านบาท
หากดูจากมูลค่าในการเข้าซื้อของรายย่อย แล้วมาดูดัชนีที่วูบลงมาแล้วในเกือบรอบปี 9.53%
นั่นเท่ากับว่ารายย่อยน่าจะติดหุ้นกันอยู่พอสมควร
ส่วนตัวพยายามที่จะสอบถาม หาข้อมูลเกี่ยวกับที่ต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่อง ซึ่งพอสรุปได้ว่า มาจากเกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด
แต่ปัจจัยที่ว่านี้ ย่อมกระทบไปยังตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลกด้วย แต่ก็ไม่มีใครทรุดหนักเท่ากับตลาเดหุ้นไทย
นั่นเท่ากับว่า ของไทยเองนั้น น่าจะมีปัจจัยภายในที่เป็นอุปสรรค หรือเป็นปัจจัยลบกดดันอยู่ ทั้งเรื่องของการเมืองที่ฝุ่นตลบไม่รู้จักจบสิ้น เศรษฐกิจที่เติบโตในระดับต่ำ หรือจีดีพีขยายตัวเพียง 2% +/- และอีกหลากหลายปัจจัยลบ ฯลฯ
หากผมเป็นนักลงทุนต่างประเทศ ก็ต้องมาถามตัวเองว่า เราจะยังลงทุนในประเทศนี้หรือไม่
คำตอบคือ “น่าจะไม่”
หรือหากจะลงทุนอาจจะต้องเลือกหุ้นที่เจ๋งจริง ๆ (ในกลุ่ม SET50) ซึ่งน่าจะมีเพียงไม่กี่หุ้นเท่านั้น
กล่าวโดยสรุป ผมถามนักวิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นไทยเราหมดเสน่ห์แล้วหรือไม่?
มีคำตอบออกมาว่า ถูก 50% ครับ
พร้อมคำอธิบายว่า นอกเหนือจากปัจจัยกดดันที่ว่ามาทั้งหมดแล้ว หุ้นบ้านเรานั้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจในโลกยุคเก่า หรือเป็น Old Economy ที่หมายถึง “เศรษฐกิจยุคเก่า” ทำธุรกิจกันแบบดั้งเดิมซึ่งเกิดขึ้นก่อนยุคเศรษฐกิจดิจิทัล อาศัยกระบวนการที่ใช้มานาน เช่น ภาคการผลิต เหมืองแร่ ค้าปลีก ขนส่ง และธนาคาร
ส่วนธุรกิจที่เป็นพวกกลุ่มดิจิทัล อิงกับเทคโลโลยีสมัยใหม่ ยังมีน้อยมาก ๆ
แต่เรื่องนี้ทางหน่วยงานกำกับอย่างตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังดำเนินการอยู่ โดยพยายามที่จะดึงกลุ่มธุรกิจสมัยใหม่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดฯ ให้มากขึ้น
ซึ่งก็ต้องมาลุ้นกันต่อไปว่า จะสำเร็จมากน้อยอย่างไร
กลับมาที่กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ ส่วนตัวก็มองว่ากลุ่มสถาบันเองก็คงอยากซื้อหุ้นไทย แต่เมื่อเหตุการณ์ไม่เอื้อจริง ๆ เลยหันไปเปิดกองทุนหุ้นต่างประเทศกันเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกองทุนหุ้นสหรัฐฯ หรือไม่ก็เป็นกองทุนตราสารหนี้ หรือกองทุนลูกผสม (ที่ไม่มีลงทุนหุ้นไทย)
ในด้านของนักลงทุนรายย่อยเองนั้น
ที่ผ่านมาจะพบว่า ต่างปรับแผนการลงทุนหันไปลงทุน DR ลงทุนหุ้นต่างประเทศกันมากขึ้น หรือไม่ก็ไปลงทุนหรือเทรดด้านพวกคริบโตฯ กันโน่นเลย
และประเมินว่าน่าจะมีรายย่อยค่อย ๆ ปรับตัวหันไปลงทุนแบบที่ว่ามานั้นเพิ่มขึ้น
มูลค่าการซื้อขายในช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 ลงมาเหลือกว่า 4 หมื่นล้านบาทต่อวัน ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะไม่รู้ว่า วอลุ่มเทรดจะลงไปมากกว่านี้อีกหรือไม่
นี่หากรายย่อยไม่ช่วยค้ำ ช่วยซื้อหุ้นไว้
ดัชนีหุ้นไทยคงดูไม่จืด