พาราสาวะถี

สถานการณ์น้ำท่วมหนักในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดสงขลาที่เผชิญกับวิกฤตการณ์อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผลพวงด้านหนึ่งเกิดจากปริมาณน้ำฝนที่พบว่า ตกหนักที่สุดในรอบ 300 ปี


สถานการณ์น้ำท่วมหนักในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดสงขลาที่เผชิญกับวิกฤตการณ์อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผลพวงด้านหนึ่งเกิดจากปริมาณน้ำฝนที่พบว่า ตกหนักที่สุดในรอบ 300 ปี โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอหาดใหญ่มีผู้ประสบภัยกว่า 240,000 คน ส่วนใหญ่ติดอยู่ในบ้านเรือน อาคาร ไม่สามารถออกไปไหนได้ การจะไปเรียกร้องถามหาความรับผิดชอบ หรือกล่าวหาว่ารัฐบาลไม่เตรียมความพร้อม คงจะเป็นการซ้ำเติมและเป็นเรื่องป่วยการไม่เกิดประโยชน์อะไร ทำได้อย่างเดียวคือ ภาวนาขอให้พี่น้องในพื้นที่ประสบภัยปลอดภัย อย่าให้เกิดการสูญเสียมากมายทั้งในแง่ชีวิตและทรัพย์สินก็พอ

เรื่องการบริหารจัดการนั้น ตามที่ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โพสต์แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กมีจุดที่น่าสนใจคือ กรณีน้ำท่วมอำเภอหาดใหญ่ เมื่อเกิดสถานการณ์ภัยพิบัติหรือเหตุการณ์ฉุกเฉิน สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือการแต่งตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์ ซึ่งมีคนรับผิดชอบและสั่งการชัดเจน แบ่งหน้าที่ลงไปในทุกภารกิจ บริหารจัดการทรัพยากรที่มีอย่างเป็นระบบ และกำลังช่วยเหลือทุกทีม บริหารอย่างมีแบบแผน ไม่ทับซ้อน ทั่วถึง

มีการยกเอาสมัยของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำ ในทุกสถานการณ์ฉุกเฉินจะมีการตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์ทันที รับผิดชอบและบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ใช้มืออาชีพเข้ามาดำเนินการ จัดวางความสำคัญก่อนหลังอย่างชัดเจน ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ รายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ผู้บัญชาการเหตุการณ์สามารถตัดสินใจหน้างานได้ทันที มีอำนาจตัดสินใจแก้ไขปัญหาเต็มที่ รวดเร็ว ไม่มีการก้าวก่ายหน้าที่กันให้สับสน และนี่คงเป็นความแตกต่างระหว่าง “มืออาชีพ กับ มือสมัครเล่น”

แม้ไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าหมายถึงใคร แต่ก็พอจะมองกันออกกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า แม้ อนุทิน ชาญวีรกูล จะลงไปในพื้นที่ทันที มีการสั่งการไปตามลำดับขั้นตอน กระจายไปทุกหน่วยงานที่สามารถระดมความช่วยเหลือได้ แต่นั่นไม่เพียงพอต่อการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน ต้องรอให้มีการประชุม ครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ก่อนจะเห็นชอบ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินพื้นที่จังหวัดสงขลา และมอบหมาย พลเอกอุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้อำนวยการสถานการณ์ มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการสั่งการ อนุมัติ และคุ้มครองผู้ปฎิบัติการ และบูรณาการความช่วยเหลือทั้งหมด

คำถามที่ตามมาคือ ทำไมต้องรอประชุม ครม.อย่างเป็นทางการ ทั้งที่ ก่อนหน้าเสี่ยหนูคุยฟุ้งสามารถเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีได้ทุกที่ ทุกเวลา เพื่อให้มีมติรับมือกับสถานการณ์ร้อน เหตุการณ์สำคัญได้ทันที พอออกมาแบบนี้มันย่อมทำให้หนีเสียงวิจารณ์ไม่พ้น ขณะเดียวกัน ยังทำให้เห็นว่ามีมิติเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ เพื่อช่วยเหลือชาวปักษ์ใต้ในสถานการณ์นี้ จากกรณีที่ทั้ง ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ และ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีกลาโหม ก็อยู่ในพื้นที่อยู่แล้ว แต่กลับไม่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้อำนวยการหรือผู้บัญชาการสถานการณ์

เห็นได้ชัดแม้พยายามจะเด้งเชือกติ๊ดชึ่งหนีการตั้งคำถามของนักข่าวต่อเรื่องนี้อย่างไร สุดท้ายก็ตอบไม่ได้ จากการถูกจี้ถามอำนาจของผู้บัญชาการทหารสูงสุดกับธรรมนัส จะไม่ซ้ำซ้อนกันใช่หรือไม่ อนุทินอธิบายว่า ไม่ซ้ำซ้อน ไม่ว่าตน ธรรมนัส หรือรัฐมนตรีคนอื่นสามารถสั่งงานในกระทรวงที่ตัวเองกำกับดูแลได้ และสั่งให้ข้าราชการทุกคนให้ความร่วมมือกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด เราทำงานด้วยกัน ไม่มีใครมาแย่งอำนาจกันในการสั่งการอยู่แล้ว แต่พอถามว่าฝ่ายปฏิบัติในพื้นที่จะต้องฟังใครเป็นหลัก เสี่ยหนูไม่ตอบคำถาม และเดินออกจากวงสัมภาษณ์ทันที

นี่ย่อมเป็นการชี้ให้เห็นว่า กระบวนการอันเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเพื่อดูแล แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากสถานการณ์อันหนักหน่วง รุนแรงครั้งนี้ ยังเต็มไปด้วย ความห่วงเรื่องคะแนนนิยมทางการเมือง คงจะปฏิเสธยากเพราะรู้กันดีอยู่แล้ว เลือกตั้งครั้งหน้าไม่ใช่แค่อนุทินกับพรรคภูมิใจไทย หวังที่จะกอบโกยคะแนนเสียงจากภาคใต้ให้ถล่มทลาย เท่านั้น แต่ธรรมนัสที่ได้ทาบทาม กวาดต้อนอดีต สส.ภาคใต้ของหลายพรรคเข้าคอกกล้าธรรม ก็ตั้งความหวังไว้กับเก้าอี้ สส.ในพื้นที่ด้ามขวานเช่นกัน

ภายใต้ภาวะประสบภัยอาจมีข้ออ้างว่ายกให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายทหารที่จะสามารถดูแลได้ดีกว่าฝ่ายการเมืองก็พอฟังได้ คงต้องรอติดตามดูกันในช่วงของการฟื้นฟู เยียวยา บรรดาแกนนำพรรคไหนจะช่วงชิงความได้เปรียบในการเรียกคะแนนนิยมจากประชาชนได้ ในฐานะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน น่าคิดอยู่ไม่น้อย พรรคไหนจะเคลมเป็นผลงานของตัวเอง พรรคสีน้ำเงินในฐานะพรรคแกนนำคงจะอ้างสิทธิเต็มที่ โดยมีปัจจัยพลังอันวิเศษที่หนุนหลัง เป็นเครื่องมือในการสร้างความเชื่อถือต่อประชาชน

หันไปดูเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ประชุม ครม.เห็นชอบ ร่างพระราชกฤษฎีกา เรียกประชุมสมัยวิสามัญรัฐสภา ในวันที่ 10-11 ธันวาคมนี้ เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขในวาระสอง เป็นการแสดงให้คู่ตกลงตามเอ็มโอเออย่างพรรคประชาชน เห็นว่าเสี่ยหนูพร้อมรัฐบาลไม่ได้มีเจตนาที่จะเบี้ยวตามที่มีความกังวล แต่การเปิดประชุมในช่วงเวลาดังกล่าว ก็ไม่ได้การันตีว่าท้ายที่สุดแล้วร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเดินไปจนสุดทาง คือผ่านความเห็นชอบในวาระ 3 หรือไม่

เพราะหลังจากที่ประชุมรัฐสภาให้ความเห็นชอบในวาระ 2 แล้ว จะต้องเว้นระยะเวลาไว้ 15 วัน จึงจะสามารถนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่การพิจารณาในวาระ 3 ได้ ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นจังหวะที่สภาฯ ได้เปิดประชุมสมัยสามัญแล้ว หากพรรคเพื่อไทยขยับที่จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็เป็นอันว่าจะเข้าสู่ภาคบังคับที่อนุทินจะประกาศยุบสภาทันที ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงรัฐธรรมนูญของเผด็จการสืบทอดอำนาจจะไม่ถูกแก้ เข้าทางฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่อยากให้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว

อรชุน

Back to top button