
KTB สู่ยุค Corporate Value Creation 2.0
ธนาคารกรุงไทย (KTB) กำลังเดินหน้าขับเคลื่อนเข้าสู่ยุค Corporate Value Creation 2.0 (การสร้างมูลค่าบริษัท 2.0) ด้วยเป้าหมายชัดเจน
ธนาคารกรุงไทย (KTB) กำลังเดินหน้าขับเคลื่อนเข้าสู่ยุค Corporate Value Creation 2.0 (การสร้างมูลค่าบริษัท 2.0) ด้วยเป้าหมายชัดเจนคือการยกระดับอัตราผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) เกินกว่า 10% อย่างต่อเนื่อง หลังจากไตรมาส 3/2568 ตัวเลข ROE อยู่ที่ระดับ 12.80% ปรับขึ้นจากไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ระดับ 9.9% หากเทียบจากปี 2556 พบว่า ROE อยู่ที่ 4.9% นั่นแสดงถึงความมุ่งมั่นสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างก้าวกระโดด..!!
โดย KTB มีการกำหนดกรอบ 5 กลยุทธ์หลัก เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมาย..
กลยุทธ์ A ปลดล็อกมูลค่าจากระบบนิเวศปัจจุบัน เพื่อสร้างผลตอบแทนสูงขึ้นจากธุรกิจเดิม ด้วยการรักษาความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานในและต่างประเทศ
กลยุทธ์ B เครื่องจักรการเติบโตใหม่ มุ่งสร้างธุรกิจใหม่เพื่อรองรับอนาคต เร่งพัฒนาเครื่องสร้างรายได้ใหม่เพื่อการเติบโตระยะยาว
กลยุทธ์ C ยกระดับการบริการลูกค้าแบบครบวงจร ด้วยการยกระดับความเป็นเลิศด้านการดำเนินงาน
กลยุทธ์ D เสริมรากฐานเทคโนโลยีและข้อมูล การนำเทคโนโลยีมาสร้างผลิตภาพเพิ่มมูลค่า
กลยุทธ์ E เปลี่ยนวัฒนธรรมและวิธีการทำงาน ด้วยการสร้างวัฒนธรรมแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน
ที่ผ่านมา KTB มีการเดินสายโรดโชว์ธุรกิจกับนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่อง เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ด้านแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจระยะถัดไป โดยเฉพาะแผนการจัดตั้งธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) ที่ KTB มุ่งสู่การให้บริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัล โดยนักลงทุนต่างชาติ ให้ความสนใจเกี่ยวกับธุรกิจVirtual Bank ค่อนข้างมาก
อีกนัยสำคัญ KTB มีการมุ่งเน้นการให้บริการแบบเฉพาะเจาะจง 6 กลุ่มลูกค้าหลัก คือ 1)กลุ่ม Wealth 2)กลุ่มองค์กรขนาดใหญ่และหน่วยงานรัฐ 3)กลุ่มวัยเกษียณและธุรกิจที่กำลังขยายตัว 4)กลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ 5)กลุ่มเยาวชนและคนรุ่นใหม่ 6)กลุ่มฟรีแลนซ์ที่ให้ความสำคัญกับความอิสระ
การจัดกลุ่มเป้าหมายชัดเจน จะเป็นตัวช่วยให้ KTB สามารถพัฒนาโซลูชันตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของแต่ละกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สะท้อนวิสัยทัศน์เชิงรุก กับการออกแบบบริการครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมเสริมสร้าง ความสัมพันธ์กับลูกค้าและสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืนระยะยาว
จากข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี (ตั้งแต่ปี 2563) KTB มีการส่งคืนประโยชน์สู่สังคมและระบบเศรษฐกิจไทยกว่า 246,000 ล้านบาท รวมถึงผลตอบแทนให้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่กว่า 124,000 ล้านบาท
พร้อมมีศักยภาพสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง เห็นได้จากมูลค่าตลาด (Market Cap) ปัจจุบันอยู่ที่ 380,850 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีผลตอบแทนรวมสูงกว่า 300% (CAGR 19.7%) ส่งผลให้เกิด Capital Gain กว่า 124,300 ล้านบาท และสร้างรายได้กลับเข้ารัฐผ่านเงินปันผล ภาษี และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ กว่า 122,000 ล้านบาท
ในแง่การยกระดับคุณภาพสินทรัพย์ สามารถลดอัตราหนี้เสีย (NPL) จาก 4.4% ช่วงปี 2563 ลงมาเหลือ 2.9% ณ สิ้นสุด 30 ก.ย. 68 สะท้อนเสถียรภาพและการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ควบคู่กับภารกิจผลักดันการเงินเพื่อคนไทยทุกกลุ่ม ผ่านนวัตกรรมอย่างแอป Thailand ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนวัย 15-94 ปี ลงทุนได้ด้วยเงินเพียง 100 บาท ขณะนี้มีเงินลงทุนสะสมทั่วประเทศกว่า 105 ล้านบาท
การเดินทางเข้าสู่ยุค Corporate Value Creation 2.0 จะทำให้หุ้น KTB เกิดผลตอบแทนโดดเด่นมากขึ้น เห็นได้ชัดจากนโยบายการจ่ายปันผล 2 ครั้งต่อปี นี่ยังไม่รวม “การซื้อหุ้นคืน” ที่อาจเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้..!!!
